วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แบกเป้เข้ามาเล ทะลุ บรูไน โผล่ไปบาหลี กับโปร ข้ามชาติ 31 ธค 56 -7 มค 57


จองตั๋วแอร์เอเชียขากลับในวันที่ 7 มค 57 จากบาหลี ในราคา 1800++ อิอิอิ จะลองแบกเป้แบบขำ ขำ เข้าบรูไน ไปบาหลี แล้วบินกลับไทย เด๋วจะได้รู้กัน ว่าความฝันนี้ จะเป็นแค่เพียงฝันหรือไม่ 

บาหลี ที่รัก ................. อิอิอิ ที่นั่่นกำลังจะขโมยลมหายใจเราไปอีกครั้งงงงงงงงง
อุณหภูมิ เดือนที่เหมาะสมในการเที่ยวบาหลี

อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีที่บาหลี ประมาณ 31 องศา มีความชื้นสูงในช่วงหน้าฝน 
บาหลีมีอยู่ 2 ฤดู คือฤดูฝนตก กับ ฤดูที่ฝนไม่ตก

ฤดูฝนจะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม – พฤศจิกายน และจะตกหนักในช่วงเดือนธันวาคม – มีนาคม

เดือนเมษายน – พฤษภาคม ฟ้าใส แดดดีในตอนกลางวัน และมีฝนตกในตอนกลางคืนหรือเช้ามืด

เดือนมิถุนายน – กันยายน เป็นช่วงที่เหมาะสมกับการไปเที่ยวบาหลีมากที่สุด เพราะฝนไม่ตก



ตอนนี้ ชักจะไม่แน่ใจ กับเส้นทางค่ะ เนื่องจากวันเวลาและงบประมาณ ที่จำกัด 
เพราะอยากจะให้งบทั้งหมดมันอยู่ในราคาที่ไม่แพงนัก 
อยากให้เป็นทริปประหยัดจริงๆ ประหยัด แต่ไม่ลำบากค่ะ อิอิอิ
อาจจะต้องตัดเส้นทางบางเส้นออกไป 
เซตงบประมาณไว้ที่ 1 หมื่น บาท สำหรับทริปนี้ แล้วเดี๋ยวเราจะมาดูกัน
 ว่าในงบเท่านี้ เราจะทำอะไรได้บ้าง


คอนเฟิร์มผู้ร่วมทริปมาแล้วค่ะ 
พี่ล้าน เพื่อนสมาชิกจากเวปคนแบกเป้ ทริปที่ 2 สำหรับบาหลีของพี่เค้า
 แล้วก้อทริปที่ 2 กับเรา เย้ เย้ เย้ 




นี่เป็นแผนเที่ยว จากคุณ Teddy เค้าทำรถเช่าในบาหลี ซึ่งเราดูแล้วมันก้อโอเคนะ 
รถพร้อมคนขับ + น้ำมัน +ค่าจอดตามสถานที่ต่างๆ แต่พวกค่าเข้าชม อาหารไรพวกนี้ 
เราก้ออกของเราเอง 
สนใจเช่ารถพร้อมคนขับแล้วซ่าส์ในบาหลี ตามราคา รถคันนึงสำหรับ 6 คน 
About the price now, per car per day IDR 450,000-500,000.
Tour duration 10 hours.

I would like to send you about the trip for 4days, 3 night as below :

Day 1 (Jan 2013)
11.30 am, FD 2976, pick you up at airport, please see sign your name KHUN CHERRY, at arrival area
- Change money at Kuta/ Lunch at Malioboro
- GWK/ garuda wisnu kencana statue
- Uluwatu/ temple on the cliffs
- Check in hotel at Ubud area
Cost IDR 350,000

Day 2 (Jan 2013)
09.00 am, pick you up at hotel
- Barong dance performance
- Batik factory outlet
- Tegalalang rice terrace view
- Kintamani/ volcano and lake Batur view
- Buffet lunch at Grand puncak sari restaurant, IDR 80.000/p, include tax and services
- Besakih mother temple
- Test coffee luwak/ animal coffee
- Tirta empul/ holy water temple
- Back to hotel
Cost IDR 450,000

Day 3 (Jan 2013)
09.00 am, pick you up at hotel
- Taman Ayun/ mengwi royal temple
- Jati luwih rice terrace village
- Buffet lunch at Mentari Restaurant, IDR 80.000/p, include tax and services
- Bedugul fruit market
- Pura Ulun Danu Beratan/ temple on the lake
- Pura Tanah Lot/ temple on the sea
- Check in hotel at Kuta area
Cost IDR 450,000

Day 4 (Jan 2013)
09.00 am, pick you up at hotel
- Back to airport
Cost IDR 80,000

TOTAL COST IDR 1,330,000.

The price including fuel and parking fees. Not entrance ticket, and meals.

ในราคานี้ ถ้าไป 6 คน หารแล้วตกคนละไม่ถึง 1000 บาท สำหรับรถพร้อมคนขับ+น้ำมัน
(ไม่รวมตั๋วเข้าสถานที่ต่างๆ )แต่เที่ยวได้ทั่วเลย 1 บาทไทย = 323.56 รูเปียอินโดนีเชีย
 เราว่าก้อโอนะ ถ้ามีสมาชิกพอสำหรับการหารเฉลี่ย 
ค่าห้องพักแบบประหยัดสักสามคืนต่อคนน่าจะ คนละ 1000++ ค่าอาหาร วันละ 2-300 
ค่าเข้าต่างๆโดยรวมไม่น่าจะเกิน 1000-1500 บาท 
คชจ คร่าวๆ แบบไม่รวมตั๋ว 3500++ อาจจะเพิ่มติ้บ ให้คนขับหน่อย เราก้อว่าโอนะ เด๋วต้องลอง 
ต่อราคารถเช่าหน่อย ถ้าสมาชิกน้อยเกินไป อิอิอิอิ
ติดต่อสอบถามราคาบริการรถเช่า ของ Teddy  ได้จาก  https://www.facebook.com/teddy.teddybali?fref=ts



ได้แผนคร่าวๆ มา ค่ะ 
1 มค 57 กลางคืน จากไทย ไปกัวลาลัมเปอร์ 
1-3 มค 57 ไปกลับระหว่าง กัวลา และโคตาคินาบาลู ระหว่างนี้ก้อเที่ยวระหว่าง บรูไน 
และโคตาคินาบาลูด้วย โดยผ่านเกาะลาบวน 
4 มค 57 บินต่อไปบาหลี เที่ยวในบาหลี 4-7 มค แล้วบินกลับไทยในวันที่ 7 
คชจ เกินงบนิดหน่อย เพราะช่วงปีใหม่ค่าตั๋วแพงขึ้น แต่เราก้อได้ตั๋วในวันที่ 4 
เพื่อต่อจากกัวลาลัมเปอร์ไปบาหลีแล้วค่าา ในราคา 1690 บาท
รายละเอียดเที่ยวบิน
ขาไป กัวลาลัมเปอร์ (KUL) ไป บาหลี (DPS)
AK 1362
Promo
KUL (KUL)
กัวลาลัมเปอร์ (KUL) 
04 Jan 2014, 10:30 AM (10:30 AM)
DPS (DPS)
บาหลี (DPS) 
04 Jan 2014, 13:25 PM (1:25 PM)
รายละเอียดผู้โดยสาร
Guest 1 : SAKUNTALA PHONYOTA
Guest 2 : CHITTRAPHA CHAOMANADET



คอนเฟิร์มผู้ร่วมทริปมาอีกนึง คุณหมออร ด้วยอีก 1 ท่าน ทั้งมาเล และั บาหลี ตัวคุณหมอไปมาแล้ว 
แต่ก้อยังจะไปร่วมทริป แบกเป้กันอีก เธอแอบกระซิบว่า สนใจ บรูไน เป็นพิเศษ อิอิอิอิ


ได้แผนประมาณนี้ค่ะ จองตั๋วเป็นสเต๊ปเรียบร้อย 
31 ธค ออกเดินทางจากไทย ไป กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เฉพาะขานี้ ตอนนี้ค่าเครื่องไปกัวลา ได้สายการบินน้องใหม่  Thai lion air  มาในวันที่ 31  ธค 56  ราคาเที่ยวเดียว 950  บาท
ไปถึงกัวลาลัมเปอร์ตอน 5 ทุ่ม  นั่งเล่นนอนเล่นอยู่สนามบิน แล้ว  
1 มค จากกัวลา ไปโคตาคินาบาลู (บิน)
2 มค นั่งเฟอรรี่ ไปบรูไน 
3 มค เที่ยวในโคตาคินาบาลู ค่ำ บินกลับไปกัวลาลัมเปอร์ นอนสนามบิน 1 คืน
4 มค จากกัวลา ไปบาหลี 
5-6 มค เที่ยวในบาหลี และคูต้า
7 มค บินกลับไทย 
ในบาหลี 4-7 มค ใช้บริการ รถเช่า + คนขับในบาหลี เพราะมีสมาชิก ช่วยกันหารเฉลี่ย รวมทั้ง รับ-ส่งที่สนามบิน ก้อเรยโอเค อาศัยนอนประหยัด คืนละไม่กี่ร้อย ทานอาหารท้องถิ่น 




การเดินทางไม่สิ้นสุด 

ตอนที่ 1  โคตาคินาบาลู
วันเดินทาง  31  ธค 56

จากพิษณุโลก  เรานั่งรถตู้ไปลงสนามบินดอนเมือง ในราคา 280   ใจหายใจคว่ำ พอสมควร เพราะตอนแรก รถบอกจะออกบ่ายโมง  แต่ปรากฎว่า คนยังไม่เต็ม  กลายเป็น บ่าย 2 กว่าจะออก   เรางี้ล่ะเสียวจริงๆ   เพราะกว่าจะไปถึงกรุงเทพ ก็ 1 ทุ่ม กว่าๆ  ต้องรีบไปเช็คอินอย่างด่วนเดี๋ยวจะได้ตกเครื่องกัน

รถตู้ส่งเราลงด้านหน้า  เดินกึ่งวิ่ง เพราะ 1 ทุ่มแล้ว เข้าไปที่สนามบินดอนเมือง ในส่วนของผู้โดยสารขาออก  จะอยู่ที่ชั้น 3   เราไปใช้บริการสายการบินใหม่ เพื่อไปสู่กัวลาลัมเปอร์   Thai lion air 
 ไทยไลอ้อนแอร์  ซึ่งจะมีบริการวันละ 1 เที่ยวบิน ไป และกลับ  โดยขาอไปจากดอนเมืองจะเป็นเที่ยวประมาณ 1 ทุ่มกว่าๆ    เราไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ที่ดอนเมือง เคาน์เตอร์ที่  8  ปรากฎว่า  เจ้าหน้าที่บอก  รอเราอยู่ 3  คน  อิอิอิ  เป็นเรากับพี่อีกคนที่ร่วมทริป   แต่อีกคนไม่ทราบว่าใคร    





เราเช็คอิน  ได้บอร์ดดิ้งพาสมาแล้ว ก็กรอกใบขาออก  แล้วผ่าน ตม ไทย 
 ออกไปสู่ประตูทางออกขึ้นเครื่อง  ตื่นเต้นนิดหน่อย
  เพราะเป็นสายการบินใหม่ที่เราจะไปนั่งเป็นครั้งแรก  อิอิอิอิ
นั่นไง โลโก้สีส้มสะดุดตา  กลิ่นใหม่โชยมาเตะจมูก เบาๆ     มโน จริงๆ  เรานี่  555



ที่นั่งผู้โดยสารใหม่กริ้บ  ไม่ต่างจากแอร์เอเชียนัก  ต่างกันเพียงแค่สีเบาะ  
แต่ระยะความกว้าง แคบ  เราว่าไม่ต่างกันมากนัก  รวมทั้งบนเคบินด้วย



แอบดูรายการอาหารในเมนูของเขา  ก็ราคาไม่แพง  มีหลากหลายแบบ
ประมาณ 130  บาท   ก็ไม่แพงนัก แต่เรายังไม่ได้ลองชิม เพราะออกจากที่นี่กว่าจะไปถึงกัวลาลัมเปอร์
ก็ 5 ทุ่ม เที่ยงคืน  อาจจะไปหาอะไรที่โน่นทานดีกว่า อีก 2 ชม กว่าจะถึง  ว่าแล้วก็หลับดีกว่า



ไปถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์แล้ว  อากาศร้อนอ้าวพอสมควร มีฝนนิดหน่อย   เราลงจากเครื่องเดินเข้าตัวอาคาร  แล้วขึ้นรถไฟบริการไปยังตัวอาคารผู้โดยสารเพื่อรับกระเป๋าและผ่านด่าน ตม  
ปล  .   ที่กัวลาลัมเปอร์ จะมี 2 สนามบิน คือKLIA  กับ  LCCT  ทั้งสองเป็นสนามบินนานาชาติ
เหมือนกัน  แต่เราจะอธิบายคร่าวๆว่า  KLIA เป็นที่รวมสายการบินหลายๆ สายการบินส่วนใหญ่
จะไปลงที่นี่     ส่วน  LCCT  จะเป็นของสายการบินเจ้าประจำ โลวคอสต์หางแดง  
แอร์เอเชีย   ซึ่งเราใช้บริการที่นี่ประจำ   แต่เมื่อไปลงที่ KLIA  แล้ว  หากเราเข้าเมืองกัวลาลัมเปอร์
ก็สามารถไปได้เลย  แต่หากต้องมีการต่อเครื่องระหว่างสนามบิน ก็สามารถไปได้ง่ายๆ  ตามลิ้งค์นี้ 

รีวิวการต่อรถระหว่างสนามบินนานาชาติที่กัวลาลัมเปอร์

แต่คืนนี้รถหมดแล้ว  เราคงนอนที่สนามบิน KLIA ค่ะ 
ปล.  เวลาที่มาเลเซียเร็วกว่าเรา 1 ชม  ค่ะ  อย่าลืมปรับเวลานาฬิกาด้วยค่ะ 





1  มกราคม 2557

ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน  เรานอนกันที่ ชั้น 5  ของอาคารผู้โดยสาร  
เดี๋ยวเราต้องลงไปต่อรถที่  ชั้น 2  เพื่อไปยังสนามบิน LCCT




ที่ชั้นสอง จะมีฟู้ดคอร์ทให้เราเลือกทานกัน 
หน้าตาอาหารที่เราเลือก  เป็นอาหารอิสลาม เป็นข้าวผัด  +  ปลาหมึกผัดเครื่องแกง+ ไข่ดาว
เผ็ดดีเราชอบ  ราคาประมาณ 11  RM หรือประมาณ  110  บาท



ฟู้ดคอร์ท จะเป็นส่วนกลางที่อยู่ระหว่าง สองฝั่ง ฝั่งนึงจะเป็นลานจอดรถ
อีกฝั่งนึงจะเป็นส่วนของรถบัส ที่สามารถต่อไปยังเมืองต่างๆได้
โดยเดินออกมาแล้วไปตามลูกศร ลงบันไดเลื่อนไปยังชั้นล่าง



รถแอร์พอร์ตระหว่างสนามบิน อยู่ทางด้านขวามือ  ตามป้ายนี้เลย  
ราคาต่อเที่ยว  2.50  RM หรือประมาณ 25 บาท ซื้อตั๋วบนรถ 


นั่งรอได้สักพัก  รถก็มา ทุกๆ  30  นาที  



ขึ้นไปนั่งแล้วตีตั๋ว   ได้ตั๋วมาแว้ววว อิอิอิอิ



เรานั่งหลับยาวไปแอร์เย็นเจี๊ยบจนหนาวเลย 
หลับไปสักพัก ก็มาถึงยังสนามบิน LCCT  เพื่อต่อเครื่องของแอร์เอเชียไปยัง
โคตาคินาบาลู  รัฐซาบาห์ ใช้เวลาบินประมาณ 2.30  ชม 



เกาะบอร์เนียว 

เกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก เที่ยวมาเลเซียฝั่งตะวันออกที่รัฐซาบาห์ “สวรรค์ของเกาะบอเนียว” ณ เมืองหลวงโคตา คินาบาลู ซึ่งได้ชื่อว่า “ดินแดนใต้สายลม” (Land Below The Wind) ซึ่งเคยรู้จักกันในนามว่า “เจสเซลตัน” ในสมัยอังกฤษปกครอแต่ถูกทําลายไปอย่างสิ้นเชิงในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ในวันนี้ เมืองโกตา คินาบาลู ได้เจริญขึ้นมากและกลายเป็นศูนย์การพาณิชย์และท่องเที่ยวพักผ่อนที่สําคัญมากของมาเลเซีย






นั่งเพลินๆ ไปสักพัก  ก็บินไปถึงโคตาคินาบาลู  เราสอบถามถึงรถประจำทาง
ว่าจะเข้าเมืองได้อย่างไร   ถามเจ้าหน้าที่ก็ชี้มือชื้อไม้ ให้วุ่นวายไปหมด  เหลือบตาไปเห็นฝรั่งคนนึง
เขาแบกเป้เดินผ่านหน้าเราไป   ตัดสินใจเดินทาง  เพื่อหาทางออกไปจากสนามบินแล้วไป
โบกรถขึ้นข้างนอก เพื่อเข้าไปยังตัวเมืองโคตาคินาบาลู  เป้าหมายคือโรงแรมที่เราจองไว้





เดินออกมาหน้าสนามบินได้สักพัก  แต่ฝรั่งคนนั้นยังเดินต่อไปเรื่อยๆ 
เราคิดว่า เขาคงจะเดิน มากกว่าที่จะหารถ  เราเลยหยุดกันที่ป้ายรถเมล์
ไม่นานก็มีรถบัสคันเล็ก เก่า  มาจอด  เขาไม่พูดอังกฤษ แต่เราก็พยายามบอก 
สุดท้ายเขาพยักหน้า หงึกหงักๆ  ประมาณว่า ขึ้นมาเถอะ  ให้ไปลงที่สถานีรถบัส
อีกที ในราคาคนละ  2  RM  ประมาณ  20  บาท   ไม่คิดไรมาก เราโดดขึ้นรถกัน
นั่งๆ ไป สักพัก ประตูเลื่อนเปิดเอง  เรียกเสียงวิ้ดว้ายจากเราได้พอสมควร  
เพราะเรานั่งติดประตู  อิอิอิอิ   





รถตู้คันเล็กวิ่งมาได้ไม่นาน ก็มาจอดที่สถานีรถบัสรอบเมือง  คราวนี้รถจะใหญ่กว่าเดิม
เรากางแผนที่ที่หยิบมาจากสนามบิน  ชี้ให้ดูจุดที่คิดว่าเราจะลงและใกล้โรงแรมเราที่สุด
คนขับพยักหน้าหงึกหงักๆ อีกที  คุยกันจับใจความได้ว่า  รถไม่มีผ่านโรงแรม  แต่จะจอดได้
ที่ใกล้ที่สุด แล้วหลังจากนั้นเราคงต้องเดินไปต่อเอง 
  เราถามถึงหอนาฬิกาแอดคินสัน (Atkinson Clock Tower)   เพราะจากทางเวป
บอกว่าใกล้ที่พักเราที่สุด   แต่คนขับไม่ว่าอะไร  บอกขึ้นมาเถอะ   
เราเลยขึ้นรถเสียค่าโดยสารคนละ 1 RM   10  บาท   รถขับวนมาได่้สักพัก
ก็มาจอดที่แห่งนึง   เรานั่งกันแบบยังไม่รู้เรื่อง คนขับเลยร้องบอกเราให้ลงตรงนี้
เราลงรถมา แล้วกางแผนที่  คร่าวๆ  ว่า  อยู่ใกล้ถนนเส้นที่เราพัก  เราตัดสินใจเดินข้ามฝั่ง
ไปถามเอาข้างหน้า  เดินข้ามมาเข้ามายังช่วงตึกนึง เป็นทางแยก เราหันซ้ายเพื่อถามใครสักคน
ที่หัวมุมถนน   ส่งใบจองที่มีชื่อและที่อยู่โรงแรมให้เขาดู   ปรากฎว่า พอหันขวาไป  เห็นป้ายเลย
อิอิอิ  ทิ่มตาอย่างแรง  5555   เลยเลี้ยวขวาไป


โรงแรมที่เราพัก คินละ 900+  บาท  สำหรับ 3 คน  
1 คืน  ห้องสภาพโอเค   มีแอร์  ห้องน้ำรวม แต่แยกเป็นสองส่วน
ระหว่างสุขาและห้องอาบน้ำ มีพื้นที่ส่วนกลางไว้นั่งทานข้าว ตากผ้าได้ 

พลัน สายตาเราก็เหลือบไปเห็นพอดี  



หอนาฬิกาแอดคินสัน (Atkinson Clock Tower) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึง
ผู้ว่าการชาวอังกฤษคนแรกของรัฐซาบาห์ชื่อฟรานซิส จอร์จ แอดคินสัน (Francis George Atkinson)
 ซึ่งได้เสียชีวิตด้วยโรคมาเลเรียในปี 1902 ด้วย อายุเพียง 28 ปีเท่านั้น
 มารดาของเขาได้สร้างหอนาฬิกาแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นที่ระลึกถึงบุตรชายขึ้นในปี 1905 และยังเป็นหนึ่งในสามสิ่งก่อสร้างที่ยังคงเหลือโดยไม่ได้ถูกทําลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 

--- เราตามหากันอยู่นาน โดยที่ไม่ทราบว่า หอนาฬิกาตั้งอยู่หลังโรงแรมที่เราพักกันนี่เอง ภาพนี้ถูกถ่ายจากหน้าต่างในห้องกินข้าวส่วนกลางของโรงแรม Stay in lodge Hotel อิอิอิอิ ไกลแค่ไหนถึงว่าใกล้ 




เก็บข้าวของกันเรียบร้อย ก็ออกไปเดินเล่นรอบเมืองดีกว่า   ออกมาจากด้านหน้าโรงแรม
เราเลือกที่จะไปทางขวาสำหรับการเริ่มต้นเดินเล่นสำรวจเมือง  
เป้าหมายคือหาไรกินเป็นอาหารสำหรับเย็นนี้  จริงๆ  เส้นถนนที่พัก ก็มีร้านอาหารมากมาย 
ส่วนใหญ่จะเป็นของชาวจีน ดูจากป้ายหน้าถนนทำเป็นซุ้มประตูแบบจีนเชียว


เดินกันมาเรื่อย ๆ ผ่านอนุสาวรีย์ที่ทำขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ์ให้กับ
ทหารออสเตเลียที่ช่วยปกป้อง รัฐซาบาห์   เกาะบอร์เนียวเหนือ
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง     ปี  1939-1945




ฝั่งตรงข้ามนั้นเราเห็นเป็นตลาดมีผู้คนมากมายเดินจับจ่ายใช้สอย
เราเดินขึ้นสะพานลอย   บนสะพานลอยที่นี่เจ๋งจริง  555
มีพ่อค้า แม่ค้า  ขายของด้วย  สินค้าก็เป็นสินค้าทั่วไป หมาก พลู  อิอิอิ




เดินลงสะพานไป ก็เป็นตลาดแบบขายผ้า ร้านรวงทั่วไป  แล้วจะในช่วงบ่ายถึงเย็น 
ก็จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายอาหาร เครื่องดื่มด้วย



ขนมต่างๆ  มีหลากหลายแบบ  แต่เราว่าไม่อร่อยนะ  แหะ แหะ  
เราซื้อมาลองทานดู  แบบ  3 อัน  1 RM   เลยเลือกคละๆ กันมาลอง



น้ำสีชมพู แก้วละ  1 RM 10  บาท  ตอนแรกนึกว่า นมเย็น กะดื่มแก้กระหายหน่อย
แต่ปรากฎว่า พอดูดไป  มันเหมือนน้ำตะไคร์อ่ะ  ซ่าๆนิด แบบน้ำสมุนไพร 
เพียงแต่มันเป็นสีชมพู  แต่ก้อ ซู้ดดดด  หมดแก้ว




บ๊ะจ่างมีหลายไส้  อันนี้เป็นร้านของคนจีน  
แต่ละใส้ราคาต่างกันออกไป  2 RM -2.50 RM  20-25  บาท


นี่เป็นร้าน มุสลิม  เป็นแนวข้าวราดแกง  สามารถนั่งกินที่ร้านก็ได้  
หรือจะซื้อใส่กล่องกลับมาทานก็ได้  ประมาณว่า ราดข้าว  จะเอากับ
กี่อย่างก็สั้่งเม่ค้าไป  ราคาเริ่มต้นที่  3 RM  



เราเดินชมกันตลาดกันสักพัก  นอกจากน้ำขนม ก็ยังไม่ได้ซื้ออะไร  ขอเดินไปเรื่อยๆ ก่อน
เพราะต้องไปตามหา ท่าเรือเฟอรรี่ เพื่อที่จะไปยังเกาะลาบวน เพื่อต่อไปบรูไน 
เราเดินเลาะกันไปเรื่อยๆ  จับจุดที่ริมชายฝั่งเป็นหลัก  อิอิอิ

ที่โคตาคินาบาลู มีกำปง เหมือนกัน  อาจจะไม่ใหญ่เท่าที่บรูไน
แต่ก็ยังมีผู้คนใช้ชีวิตกลางน้ำแบบนี้กันเหมือนกัน
กำปง แปลว่า  หมู่บ้าน   มาเลเซีย บรูไน และอินโดนีเชียต่างก็พูดภาษาเดียวกัน



มีเรือรับจ้างมารอรับส่ง ผู้โดยสาร  ใครจะจ้างให้เขาพาวนเที่ยวดูหมู่บ้านก็ได้นะ  
ราคาเราไม่รู้ เพราะเราไม่ได้ถาม แล้วก็ไม่อยากไปดูเท่าไร  เพราะพิดโลกก็มี   ชาวแพให้เห็น
จนเบื่อแระ  อิอิอิอิ   เพียงแต่ของเขาใหญ่กว่าแคนั้นเอง  

.







เดินไปผ่านริมทะเลแล้ว มีคนมากันเยอะพอสมควร ทั้งตัวคนมาเลย์เอง
รวมถึงนักท่องเที่ยวหัวทอง และหัวดำอย่างเราด้วย   
สภาพแวดล้อมตัวเมืองโคตาคินาบาลู ไม่ใหญ่มาก เป็นเมืองนึง ที่เอาเข้าจริงๆ 
ก็สามารถเดินกันได้ทั่ว  มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ  โรงแรม 5 ดาวก็ยังมีนะ  
เพราะที่นี่จะเป็นจุดท่องเทียวที่คนนิยมมาก เพื่อเป็นจุดพักก่อนที่จะไปต่อที่อื่น
การท่องเที่ยวหลักๆ ที่สำคัญและมีชื่อเสียง ก็ การดำน้ำ ดูฉลาม  ปะการัง มีหลายแหล่ง
ที่มีชื่อเสียง   และที่สำคัญก็คือการเดินขึ้นสู่ ยอดเขาโคตาคินาบาลู  
มีนักท่องเที่ยวหลายๆ คนมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ  แต่สำหรับเรื่องการปีนหรือเดินขึ้นเขา
คงต้องขอผ่านไปก่อน  อิอิอิ  ไม่ไหว ถึงจะใจรักก็เถอะ แต่สังขารไม่ไหวนี่นา



เราใช้เวลากันไม่นานประมาณ 10  นาที หลังจากผ่านห้าง ร้านค้า  แล้ว  จากริมฝั่งทะเล 
เราเห็นท่าเรือเฟอรรี่ลิบๆ   



มาถึงแล้วท่าเรือเฟอรรี่ สำหรับการข้ามไปเกาะลาบวน  และไปยังเกาะอื่นๆ ได้
สำหรับคนที่ซื้อทัวร์ดำน้ำ หรือไปชมความสวยงามของเกาะต่างๆ  สามารถมาซื้อตั๋วได้จากที่นี่
จะมีเรือเล็กๆ แบบนี้ของหลายๆ บริษัท


ปากทางเข้า




เรามาถึงแต่ว่า ปิดขายตั๋วแล้ว เพราะเรือรอบสุดท้ายจะหมดที่  บ่าย 1.30  น 
เลยมาแอบส่องราคาไว้ก่อน
ค่าเรือไปลาบวน จะมี 2 ชั้นคือ ชั้นธรรมดา กับ ชั้นธุรกิจ
แน่นอน คนอย่างเรา ก็ต้องชั้นธรรมดา  เพราะใช้เวลาประมาณ 3 ชม  ในการนั่งเรือ
ไปยังเกาะลาบวน  ราคาสำหรับชั้นประหยัด อยู่ที่   39.60  RM ประมาณ  396 บาท
 สำหรับชาวต่างชาติเพราะสำหรับคนมาเลย์เอง แค่ 19.80 RM เอง สำหรับผู้ใหญ่  


เราเลือกเที่ยวเรือรอบเช้าสุด เพราะจะได้ทันเรือรอบบ่ายสุดท้ายจากลาบวนข้ามไปบรูไน
เป็นเรือรอบเที่ยงจากเกาะลาบวน ใช้เวลาไปถึงบรูไน ที่ท่าเรือ เมารา ประมาณ 1 ชม

สีส้มด้านขวามือ นี่เป็นสำนักงานขายตั๋ว พรุ่งนี้เราคงมาใหม่แต่เช้า


เดินกลับออกมากันจากท่าเรือ  เดินข้ามถนนตรงไป เพราะเราเห็น ร้าน 7  อยู่ไม่ไกล
ไปซื้อน้ำดื่ม ขนม ตุนไว้กินดีกว่า   


ซื้อเสร็จ เราก็เดินกันไปอีกที  ดูจากแผนที่แล้ว เราสามารถเดินเป็นวงกลมได้สบายๆ  โดยมีที่พัก
เป็นจุดกึ่งกลางผ่านสถานที่ต่างๆ


ผ่านจะบริการข้อมูลการท่องเที่ยวด้วย อิอิอิ  ถนนเส้นนี้จะเป็นถนนเส้นกลางโดยที่รถเมล์ไม่ได้ผ่าน 
แต่รถเมล์จะผ่านเส้นนอก  แต่เราสามารถเดินตัดเข้ามาเส้นในนี้ได้



ผ่านมาเกือบถึงที่พัก  ตอนแรก เราเล็งร้านก๋วยเตี๋ยวแถวๆ ที่พักไว้  อยากซดน้ำร้อนๆๆ
แต่ปรากฎว่าร้านปิดหมด  เลยกลับไปตลาดดีกว่า  หาซื้อข้าวราดแกงสไตล์มาเลย์กลับมากินดีกว่า

ผ่านอร้านอาหารทะเล  โอ้วว  แม่จ้าววว ล๊อปสเตอร์ ตัวใหญ่มากก  ใหญ่จริงๆ ค่ะ
ตัวประมาณแมวตัวใหญ่ๆ อ่ะ  ใหญ่กว่าอีก  เขาขายราคา ขีดละ  30 RM ขีดละ 300  เอง  5555
ได้แต่มองนะ  ไม่กล้ากิน  ใหญ่จัด  ไม่ถูกกับของใหญ่่ อิอิอิ


กลับมาตลาดเดิม  สั่งเนื้อราดข้าว  ราคา  3 RM  30  บาท
จริงๆ  เราเลือกให้เขาตักราดได้  2- 3 อย่าง  ก็ชี้ไป เพิ่มเงินนิดหน่อย10-20  บาท  
เราหิ้วกันคนละกล่อง กลับไปทานที่โรงแรม  



หอนาฬิกา ยามค่ำคืน    นั่งทานข้าวไป ก็มองไป เพลินดี 
แหม  เล่นตั้งอยู่ใกล้โรงแรมแบบนี้  จริงๆ รถเมล์ผ่านนะ  แต่ตอนเขาจอดให้เราลง
 ไม่ได้จอดตรงนาฬิกา  แต่จอดก่อนถึงเราเลยไม่รู้ว่ามันใกล้กันตรงนี้เอง อิอิอิอิ  
คืนนี้หลับสบาย ไม่อาบน้ำ  555555


2 มกราคม 2557


เราตื่นนอนตอน ตี 5  เพื่อทำธุระส่วนตัว  ข้างห้อง เช้คเอาท์ไปตอนดึกๆ  แล้ว หลังจากที่เข้าออก 
ปิด ประตู ปึงปัง ทั้งคืน  ข้างๆที่พัก จะมีผับเปิด ใให้นักท่องเที่ยวได้ไปสนุกกัน  แต่เราไม่ได้ไป หลับเอาแรงเพื่อที่จะเดินทางต่อ    เราเก็บข้าวของเรียบร้อย แล้ว 6 โมงเช้า จึงเช็คเอ้าท์  ที่โรงแรมมีอาหารเช้าให้   เป็นแบบ  ขนมปัง แยม  ชา และ กาแฟ  แต่เราก็ไม่ได้ทาน   จ่ายเงินเรียบร้อย ก็ออกเดินไปท่าเรือเฟอรรี่   ซึ่งอยู่ห่างจากทางโรงแรม ไป ประมาณ 10-15  นาที โดยการเดินเท้า



ถึงแล้วยามเช้าที่นี่ อากาศดีพอสมควร  ต่างจากกลางวันซึ่งจะร้อนอ้าว  และมีฝน
เนื่องจากสภาพเป็นเกาะ จึงมีอากาศร้อนชื้น


ตั๋วเที่ยวแรก ประมาณ  7.30  น  แต่ช่องขายตั๋วจะเปิดให้ก่อนล่วงหน้าก่อนประมาณ 1-2 ชม 
เราไปถึงรอสักพัก ก็มีเจ้าหน้าที่ออกมาขายตั๋ว  เรารีบเข้าไปต่อแถวทันที
โดยถามไถ่ได้ความว่า  สามารถซื่อรวมกับเที่ยวไปบรูไนได้  ในราคา   63.60 RM   630++  บาท
เพราะถ้าซื้อแค่ไปลาบวนจะเป็น 39.60  RM  เป็นค่าตั๋ว  36  ค่าภาษีท่าเรือ 3.60 RM  
เราถามคนขายว่า  ซื้อแยก กับซื้อรวม จะต่างกันตรงไหน
เขาบอกว่า  ซื้อรวมจากที่นี่ จะถูกว่า  5 RM 50  บาท
แต่ขอสรุปตรงนี้เลยนะคะ  ว่า  ไม่ต่างกันเรยค่ะ  ที่ถูกกว่า  5 RM เพราะนั้นเขายังไม่ได้เก็ล
ภาษีท่าเรือ  เพราะถึงเราซื้อรวมไป  พอไปถึงลาบวน เราก็ต้องไปที่เคานเตอร์ เพื่อนำตั๋วที่มาจากมาเลเซีย  มาเปลียนเป็นตั๋วของบรูไนเฟอรรี่ อีกที  โดยมี ค่าภาษีอีก  5 RM 
55555  สรุปว่า จะซื้อแยก หรือ ซื้อรวม  ไม่ต่างกันจ้าาาา   เพราะเที่ยวแรก จะไปถึงลาบวน
ตอน 10 โมงเช้ากว่าๆ   แล้วเรือจะไปบรูไน จะเป็นรอบเที่ยงถึงบ่ายโมง 
เรายังมีเวลาเดินแกร่ว เที่ยวในตลาดลาบวน ดูของหนีภาษี ขำ ๆ  กันได้  หรือจะหาอะไรทานกันก่อน
ถ้าไม่รีบก็อาจจะหาโรงแรมพัก นอนสักคืนก็ได้    แล้วค่อยมาซื้อตั๋วเรือเพื่อต่อไปบรูไน



ได้ตั๋วแล้ว ก่อนเวลาที่เรือจะออก เรามีเวลามากพอ ที่จะเดินชมยามเช้าที่ท่าเรือเฟอรรี่
โคตาคินาบาลู รวมถึงถ่ายรูปกัน




เลยที่ขายตั๋วมา  มีร้านอาหารที่เปิดตั้งแต่เช้ายันเย็น   ตอนเช้าจะเปิดไม่กี่ร้านเพื่อขายอาหารและเครื่องดื่มให้นักเดินทางได้เดินทางกัน  เพราะ 3 ชม กว่าจะไปถึงเกาะลาบวน คงไม่ดีนัก
ถ้าจะต้องนั่งทนหิว  แต่จะว่าไปบนเรือก็มีน้ำและขนมขายนะคะ 


อาหารเขาจะทำใส่กล่อง อุ่นร้อนๆ  ประมาณ 3 RM  มี นาซิ ลามัก อาหารท้องถิ่นของที่นี่
ในราคา  1 RM  เป็นข้าวกับน้ำพริก มีเครื่องเคียงนิดหน่อย  เผ็ดๆ กินง่ายๆ อร่อยดี



ทานอาหารเช้าเสร็จ เราก็เดินเล่นรอบๆ ท่าเรือ 





โน่นไง  เรือเฟอรรี่ไปลาบวน  ลำที่เราจะไปใช้บริการ









ได้เวลาขึ้นเรือ  จะต้องผ่านเจ้าหน้าที่ก่อนเพื่อตรวจตั๋ว  โดยเขาจะตรวจบัตรค่าธรรมเนียม  3.60 RM 
ส่วนตั๋วนั้นเก็บไว้ให้ดี  เพราะต้องไปตรวจบนเรืออีกรอบ
ส่วนการผ่านด่าน จะไปปั๊มพาสปอร์ตกันที่ ลาบวนค่ะ 



สภาพภายในเรือ ที่นั่งดีพอสมควร  มีเลขที่ระบุที่นั่งชัดเจนตรงตามตั๋ว  
มีทีวีให้ดูด้วย ก็ดูไปหลับไป  เอาแรงตามเคย อิอิอิอิ



ที่นั่งแต่ละแถวจะมี  4 ที่นั่ง  เรา 3 คนก็นั่งเรียงกัน สัปหงกกันไปจนถึงลาบวน  อิอิอิอิอิ



ถึงลาบวนแล้ว  ผ่านด่านตม ออกมาแล้ว เวลายังเหลือ อีก ตั้ง  2 ชม 
เราเลยไปเดินเล่นหาซื้อดูของหนีภาษี อย่างที่เขาว่าถูกกันดีกว่า
หาที่แลกเงินเป็นเงินบรูไนด้วย  ในตัวอาคารที่ลาบวน เรามองไม่เห็น
ที่แลกเงิน ถามคนขายของด้านไหน เขาว่า ต้องเดินออกไปแลกข้างนอก




เดินข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม  เข้าซอยไป แล้วเลี้ยวขวา  จะมีร้านแลกเงินอยู่


แต่ระหว่างนั้นในร้านดิวตี้ฟรีที่ลาบวน  เราก็เดินดูพวกของฝาก  มีเยอะ
ทั้งเหล้า  ช๊อกโกแลต  น้ำหอม  แข่งกันติดป้ายลดราคา  ไม่รู้ว่าแพงหรือถูก  
แท้มั่งไม่แท้มั่ง  ไม่แน่ใจ 



แล้วจากนั้น ฝั่งทางด้านซ้ายมือ จะมีช่องขายตั๋วอยู่  เราต้องเอาตั๋วที่ได้มาจากท่าเรือ
ที่มาเลเซีย ไปเปลี่ยนเป็นตั๋วที่บรูไน  พร้อมจ่ายค่าภาษีอีกคนะ ละ  5 RM


หน้าตาตั๋วใหม่ที่ได้ ต่อคน จะได้คนละใบ  ใบนึงมีสองส่วน  ส่วนนึงจะเป็นภาษีเรือ 
ที่ก่อนขึ้นเรือเขาจะตรวจแล้วฉีกออกไปเหลือแต่ตั๋วไว้ให้ตรวจอีกทีบนเรือ


เดินเล่นดูร้านรวงต่างๆ ในลาบวน  เหล้าถูกมากๆๆ อิอิอิอิ อยากอยู่เกาะนี้จัง



เดินมาแล้วเจอร้านแลกเงิน  ต้องเข้าไปแลกกันซะหน่อย  
ข้างในเขาจะเป็นร้านขายผ้าด้วย  
มีโสร่งลายสวยๆ  เยอะแยะเลย  ราคาผืนละ   8-10 RM ขึ้นไป





หน้าตาเงินบรูไน  เราเอาเงินแลกไปประมาณ 3 พันบาท  ได้เงินบรูไนมาประมาณนึง
เพราะเงินบรูไน 1 เหรียญเท่ากับ 25-26  บาทไทย เลยทีเดียว
เพราะเขาอิงราคา  เหรียญสิงค์โปร





หลังจากแลกเงินเสร็จเดินกลับมาที่ท่าเรือ 





ได้เวลาขึ้นเรือก็ไปผ่านด่าน  ผ่านตม  แล้วเดินไปขึ้นเรือ 


จะมีป้ายบอกว่า  รอบเรือจะไปไหน  แล้วฝั่งไหนจะจอดเรือ






เรือเฟอรรี่ไปบรูไนรอบนี้  ไม่มีเลขที่นั่งระบุ 
สามารถเลือกนั่งได้ตามใจชอบ  จะมีคอกด้านหน้าไว้วางกระเป๋าใบใหญ่ จะได้
ไม่ต้องถือเข้าไปให้เกะกะ  หลังจากตรวจตั๋วแล้ว  สักพักเขาก็จะแจกใบผ่านแดน  ขาเข้าและขาออก
ที่ประเทศบรูไนให้ด้วย เตรียมปากกาไว้แล้วทำการกรอกได้เลยจ้า




อ้าวมาถึงแล้วท่าเรือ Muara  เมารา  บรูไน  เก็บประเป๋าแล้วไปผ่านด่านกันเถอะ  เย้  เย้ เย้  



ตอนที่  2   บรูไน ดารุสซาลาม  เมืองแห่งความเงียบแต่ไม่เหงา

2  มกราคม 2557

จากการค้นพบน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาลที่พลิกโฉมบรูไนให้กลายเป็นหนึ่งในประเทศ
ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก


  • บรูไน หรือ เนการาบรูไนดารุสซาลาม เป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชายฝั่งทางด้านเหนือจรดทะเลจีนใต้ พรมแดนทางบกที่เหลือจากนั้นถูกล้อมรอบด้วยรัฐซาราวัก มาเลเซียตะวันออก บรูไนเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นสินค้าหลัก . วิกิพีเดีย



  • สกุลเงินดอลลาร์บรูไน




  • เพลงชาติอัลละห์ ปลิฮารากัน ซุลตัน





  • ภาษาราชการภาษามาเลย์

  • เรามาถึงบรูไนด้วยการข้ามเรือมาจากเกาะลาบวน เกาะปลอดภาษี ที่มีทุกอย่างขายให้กับนักท่องเที่ยว เพราะถึงแม้ประชาชนส่วนใหญ่จะเป็นมุสลิม  แต่นักท่องเที่ยวมักจะนิยมข้ามมาเกาะลาบวนเพื่อซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ได้อย่างเสรี

  • สวัสดีบรูไน

  • ท่าเรือเมาร่า  Muara   บรูไนดารุสซาลาม




  • เรือเฟอรรี่พาเรามาถึงท่าเรือบรูไน ในตอนบ่าย 2    ขึ้นจากเรือเราก็ต้องมาผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง


  •        

  • ผ่านตรวจคนเข้าเมืองเสร็จ  ก็เดินออกมาด้านหน้า  ศาลาข้างหน้านั้น  จะมีรถบัสจอดอยู่
  • เป็นรถบัสเล็กสำหรับเข้าเมือง บันดาร์เสรีเบกาวัน  เดินออกมาเห็นรีบก็รีบวิ่งเลย 
  • กลัวรถมันออกก่อน   เพราะได้ข่าวว่า  รถเมล์ที่นี่นานมาก กว่าจะมาสักหนึ่งคัน
  • แล้วก็เป็นอย่างที่เราคิดจริงๆ  พอขึ้นรถได้ปุ้บ คนขับก็ออกรถปั้บเลย




  •                          
  • ขึ้นรถเมล์แล้ว คนขับก็ออกรถเลย เพราะเขารอเราเนื่องจากเห็นเราเดินมาแล้ว   จริงๆ การขึ้นรถเมล์
  • ให้จ่ายเงินหยอดตู้ด้านหน้า ข้างประตูทางขึ้น คนละ 2 เหรียญ บรูไน  แล้วกดจะได้ตั๋วออกมา
  • แต่เรานั้น คนขับเดินมาเก็บเงิน   แล้วไปหยอดตั๋วมาให้   สภาพตั๋วที่ได้  อิอิอิอิ 



  • รถเมล์ที่นี่ขับเป็นแบบหวานเย็น  ประมาณว่า ใครลงตรงไหนกูไปส่งถึงที่ 
  • แทบจะจอดเกยบันได้บ้านให้เลย    เราว่าก็ดีนะ เพราะไม่ต้องลงไกลแล้วเดิน 
  • คนขับที่นี่บริการให้หมด  5555   แต่สภาพรถ ขอบอกว่า สำหรับคนชั้นล่างจริงๆ 
  • เพราะนอกจากแท๊กซี่แล้ว  คนบรูไนส่วนใหญ่ มีรถขับส่วนตัว ไม่มีใครนิยมใช้บริการ
  • รถสาธารณะ  ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนธรรมดา  หรือพวกชาวต่างชาติที่ไปใช้แรงงาน
  • ที่โน่น  มีหลากหลายเชื้อชาติด้วยกัน  เช่น มาเล อินโด ฟิลิปปินส์หรือแม้กระทั่งคนไทย
  • เราเป็นนักท่องเที่ยวแบบประหยัดจึงจำเป็นที่จะต้องใช้บริการส่วนนี้เหมือนกัน 555



  • นั่งชมวิวทิวทัศน์มาได้ เกือบ 2 ชม  ทั้งที่ควรจะใช้เวลาแค่ 1 ชม จากท่าเรือ
  • ทริปนี้เราได้โฮสต์ 1 คืน  สำหรับการนอนค้างที่ประเทศบรูไน  
  •   โฮสต์จะมารับเราหลังจากที่มาถึงสถานีรถบัสแล้ว  





  •  โฮสต์นัดให้เราไปรอที่ ร้านกาแฟ coffee bean and tea leaf shop 
  • ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ  สถานีขนส่ง   ถามร้านค้าแถวนั้นก็ได้  
  • ใกล้ๆกันนั้น มีโรงแรม K H SOON  อยู่เป็นโรงแรมที่ใกล้ท่ารถที่สุด มีไวไฟฟรี
  • จากจุดนี้ จริงๆ แล้วสามารถเดินเที่ยวได้ทั่วทั้งเมืองเลย สำหรับคนที่ขยันเดิน 
  • แล้วมีเวลาไม่เร่งรีบ  อันนี้เราจะพูดถึงคนที่เดินทางแล้วไปกลับด้วยเรือเฟอรรี่
  • จากลาบวน ไปยังโคตาคินาบาลู มาเลเซียนะคะ    สำหรับคนที่บินไปกลับ
  • คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะ มีเวลาแน่นอน สามารถเผื่อเวลาไปขึ้นเครื่องได้
  • แต่เนื่องจากแผนของเรา  คือ เที่ยวบรูไน 1 วัน   แต่เนื่องจากเราคำนวณ ระยะเวลาเรือ 
  • เพือกลับไปต่อเครื่องที่โคตาคินาบาลู น้อยไปหน่อย โดยลืมไปว่า เราต้องเผื่อเวลา
  • ให้กับรอบเรืออย่างน้อย 4-5  ชม  ด้วย  จริงๆ  ควรจะเผื่อเวลาไว้เที่ยวด้วยอย่างด้วย 2 วัน 


  •    


  • เพราะถ้าไม่ค้างที่บรูไน  ซึ่งนอกจากจะต้องจ่ายค่าโรงแรมแพงแสนแพง  สำหรับทริประหยัด  เราอาจจะกลับไปค้างที่ลาบวนก็ได้   เพราะที่เกาะลาบวนยังมีอะไรให้ทำมากกว่า  ยิ่งสำหรับคนที่ไม่ใช่มุสลิม  คุณอาจจะหาเครื่องดื่ม ของฝาก ของกิน เดินเล่น พักผ่อน อยู่ที่เกาะลาบวนได้  เพราะรอบเรือเที่ยวสุดท้ายจากบรูไน กลับมายังเกาะลาบวน คือ  บ่ายโมงรอบเดียวเท่านั้น  


  • ก่อนจะจากมา ก็ขอคนขับรถเมล์ดูตารางเวลารถได้ 
  • เราดูเวลาที่รอบเช้าสุด  คือ  รอบที่ 9.30 น  เพราะ 1 ชม จากบรูไนไปลาบวน
  • เราจะได้กลับได้ทันรอบเฟอรี่ที่ลาบวน รอบที่ บ่ายโมง กลับไปยังโคตาคินาบาลู
  • แล้วไปขึ้นเครื่องบินรอบค่ำที่โคตาคินาบาลู กลับไปยังกัวลาลัมเปอร์


  • โฮสต์เรามารอที่ร้านกาแฟ ตามนัดหมาย  โดยที่เราช้าไป 1 ชม กว่าๆ  เพราะรถเมล์บรูไน
  • อิอิอิ  เรารู้แล้วเหตุผลที่ว่า  ทำไมคนที่เคยมาจึงบอกว่า  นานรถเมล์จะมาที
  • เพราะบางที  รถเมล์ก็ไม่จอดรับผู้โดยสารซะงั้น   แล้วกว่าจะไปส่งผู้โดยสารที่บ้านอีก  555
  • จะไม่หวานเย็นได้ไง  ถ้ายังไง เพื่อนๆมีโอกาสไปใช้บริการรถเมล์ที่นั้น  
  • อย่าลืมเผื่อเวลาด้วยนะคะ      โฮสต์ของเราชื่อ   Mr. Asif   มิสเตอร์ อซิฟ
  • เขาเป็๋นมุสลิม มาจากอินเดีย เป็นนักหนังสือพิมพ์  เราติดต่อเขาผ่าน 
  • www.couchsurfing.org     จากเวปนี้เขาได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับเราหลายอย่าง
  • เกี่ยวกับการเดินทางในบรูไน   คุยไปคุยมา  เขาเลยบอกว่า ถ้าไม่มีที่นอน
  • สาารถมาพักกับเขาก็ได้  โดยที่วันนั้นเขาว่างพอดี เราเลยโอเคอย่างไว  อิอิอิ



  • Asif  รับเราจากท่ารถแล้วถามว่า จะไปที่พักเลยหรือจะแวะที่ไหนก่อน 
  • เราเลยบอกเขาไปว่า  ขอเที่ยวก่อนแล้วกัน  เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกแต่เช้า
    เพื่อไปยังท่าเรือเลยมีเวลาเที่ยวแค่รอบเย็นช่วงนี้เอง  เราไม่ซีเรียสนะ ที่จะต้องไป
  • ให้ครบทุกๆที่ในบรูไน  เพราะเป็นเส้นทางที่เรามาสำรวจดูก่อนเพราะจากโคตาคินาบาลู
  • ด้วยเรอเฟอรรี่ที่พาเรามาจนถึงบรูไน  นั่นก็สร้างความตื่นเต้นให้เรามากพอดูอยู่แล้ว


  • ที่แรกที่ Asif  พาไปเยี่ยมชมก็คือ 

  • มัสยิดโอมาร์  อาลี ไซฟัดดิน 

  •  มัสยิดเก่าแก่อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบรูไน
  • ตั้งอยู่ใจกลางกรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน   มัสยิดหลังนี้ออกแบบและดำเนินการสร้าง
  • โดย   สุลต่าน โอมาร์ อาลี ไซฟัดดิน ที่ 3    พระราชบิดาขององค์สุลต่านองค์ปัจจุบัน
  • และสร้างเสร็จในปี ค.ศ.  1958  พระองค์ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น สถาปนิกสมัยใหม่ของบรูไน 
  • เพราะออกแบบการสร้างได้งดงาม จนได้สมญานามว่า   มินิทัชมาฮาล
  • สามารถเดินเข้าไปเยี่ยมชม รอบๆ  ได้ แต่หากจะเข้าไปในตัวมัสยิดก็ต้องเปลี่ยนชุดคลุมเข้าไป
  • และต้องเข้าไปในช่วงเวลาที่ไม่ได้ประกอบพอธีทางศาสนา เช่นเวลาละหมาดเป็นต้น











  • พระราชวังหลังคาทองคำ อิสตาน่า นูรูลอิมาน (Istana Nurualiman)

  • ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์สุลต่านและพระราชวงศ์ อีกทั้งยังเป็นทำเนียบรัฐบาลด้วย 
    มีห้องต่างๆถึง 1,788 ห้อง สร้างอยู่บนพื้นที่ 300 เอเคอร์  โรงรถมีที่จอดรถกว่า 300 เอเคอร์ 
  • โรงรถมีที่จอดรถกว่า 350 คัน    โดย 1 ปีจึงจะเปิดให้เข้าไปชมได้ เพียง 1 ครั้ง โดยจะเปิดให้ชม
  • หลังจากผ่านช่วงเราะมะฎอนไปแล้ว



  • เรือหลวง



  • 3 สาว ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกร่วมกัน สักหน่อย อิอิอิ  บรูไน




  •  เนื่องจากที่นี่เรามากันเป็นเวลาเย็นมากแล้ว  สถานที่สำคัญหลายแห่งได้ถูกปิดลง
  • เนื่องจากหมดเวลาทำการ  เช่น  บรูไนมิวเซียม  ที่ภายในมีการจัดแสดงแยกเป็น 6 ส่วนด้วยกัน
  • แต่ที่โดดเด่นมากๆ ก็คงเป็นห้อง Islamic Arts  Gallely  เป็นห้องที่รวบรวมสะสมของโบราณ
  • ล้ำค่าของสุลต่านจากมุสลิมทั่วโลกมาแสดงชมไว้มากมาย     นอกจากนั้นยังมี
  • คัมภีร์อัลกุรอ่านที่เล็กที่สุดในโลก  ห้องจำลองวัฒนธรรมประเพณีของชาวบรูไน
  • และห้องที่รวบรวมประวัตการค้นพบน้ำมัน  ที่พลิกโฉมประเทศบรูไนจนกลายเป็นหนึ่งในประเทศ
  • ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ชมการจำลองขบวนการผลิตแท่นขุดเจาะน้ำมันในยุคแรกๆ  และ
  • ห้องแสดงสัตว์หายากของเกาะบอร์เนียว เช่นลิงจมูกยาว
  • แต่เราพลาดทั้งหมดไป  แต่ไม่เคยเสียดาย  เพราะถึงแม้เราจะมีเวลาเพียงน้อยนิด
  • แต่มีโอกาสเราคงกลับไปเยือนที่นั่นอีกครั้ง แน่นอน




  • จากฝั่งตรงข้ามมัสยิดโอมาร์ อาลี ไซฟัดดิน  เราเดินข้ามถนนมากัน 
  • เพราะฝั่งตรงข้ามนี้จะเป็น  กำปงไอย์เยอร์  หมู่บ้านกลางน้ำที่ใหญ่ที่สุด
  • ในกรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน  และใหญ่ที่สุดในโลกด้วย






  • ทางเดินสองข้างจะเป็นห้างสรรพสินค้า  สามารถไปเดินเล่นตากแอร์กันได้  
  • หรือจะไปนั่งชมวิวเล่น  เพราะตรงใจกลางจะมีลานน้ำพุอยู่ 



  • กำปงไอย์เยอร์ 


  •  กำปงแปลว่าหมู่บ้าน  ไอร์เยอ์แปลว่าน้ำ 
  • นี่เป็นหมู่บ้านกลางน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก  



  • การสร้างบ้านเรือน นับพันบริเวณปากแม่น้ำบรูไน   และการคมนาคมทางน้ำ
  • ซึ่งชาวยุโรปที่เข้ามาบรูไนในยุคแรก ๆ  ต่างเรียกขานที่นี่ว่า  เวนิซตะวันออก


  • มีการสร้างบ้านแบบพื้นเมืองไว้มากมาย รวมทั้งสาธารณูปโภคครบครัน 
  • รวมถึงโรงเรียน   สถานีอนามัย สถานีตำรวจ ร้านค้า  มัสยิด และอื่นๆ อีกมากมาย
  • จึงทำให้ที่นี่  กำปงไอย์เยอร์ จัดว่าเป็นสถานที่นึง ที่มาแล้วควรมาดูมาเยี่ยมชม 
  • จะนั่งเรือเล่นไปรอบๆ  ก้อได้  หรือจะนั่งดูเฉยๆ  จากฝั่งแม่น้ำก็ได้  เพราะสามารถมองเห็นได้
  • จากฝั่งแบบไม่ไกลนัก  เพราะชาวบ้านต่างก็ข้ามไปมากัน เพราะบนฝั่งมีห้างให้มาเดินช๊อปปิ้งได้


  • เรือที่จอดคอยรับ ส่ง ผู้โดยสาร ระหว่างกัมปง ไอยเยอร์ กับฝั่ง
  • สามารถเช่าหมาลำแล้วขับเล่นพาวนไปรอบๆ ได้  หรือจะขึ้นไปดูที่หมู่บ้านก็ได้




  • หลังจากชื่นชมความงามของมัสยิดโอมาร์ อาลี และวิถีชีวิตของชาวบ้าน กัมปง ไอยเยอร์กันแล้ว

  •  เราก็ไปต่อกันที่  มัสยิดทองคำ Jame Ar’ Hassanil Bolkiah Mosque 
  • ซึ่งอยูห่างออกไปไม่ไกลนักโดยรถยนต์ อิอิอิอิ  แต่ก่อนจะไปถึงมัสยิดทองคำ  

  • Asif  ก็พาเราแวะดูวังสุลต่านก่อน  ถึงแม้เราจะยืนดูได้จากหน้ารั้วก็เถอะ  
  • วังของสุลต่านใหญ่โตโออ่าพอสมควร  มีทหารยืนรักษาการ์ณอยู่หน้ารั้วด้วย







  • ทำอะไรมากไม่ได้กว่าการถ่ายรูป อิอิอิ   เราก็ไปกันต่อเถอะ 


  •  มัสยิดทองคำ Jame Ar’ Hassanil Bolkiah Mosque 

  • มัสยิดที่สง่างาม และศักดิ์สิทธิ์ของชาวบรูไน ที่ใช้งบประมาณในการสร้างมหาศาล โดยมีการนำเข้า
  • วัสดุการก่อสร้างและตกแต่งจากทั่วทุกมุมโลกใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 7 ปี
  •  มีห้องสวดมนต์ 2 ห้องแยกชายและหญิงบันไดทางขึ้นแต่ละชั้นจะมี 29 ขั้น 
  • ห้องละหมาดด้านบนตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยพรมสีเหลืองทองดูสว่างไสว





  • มัสยิดถูกสร้างขึ้นด้วยงบประมาณมหาศาล โดยใช้วัสดุชั้นนำจากทั้วโลก อาทิเช่น
  • หินอ่อนจากอิตาลี  หินแกรนิตจากเซี่ยงไฮ้  กระจกแต่งบานหน้าต่างจากอังกฤษ
  • พรมชั้นหนึ่งจากเบลเยี่ยม และซาอุดิอารเบีย



  • เริ่มก่อสร้างในปี 1987  และเสร็จสิ้นในปี 1994 ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างถึง 7 ปีด้วยกัน


  • เราไปถึงเย็นแล้ว จริงๆ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปได้  แต่ต้องแต่งกายเรียบร้อย
  • โดยสุภาพสตรีต้องเปลี่ยนชุดดำ คลุมแล้วจึงเข้าไป  ชุดปลี่ยนที่นี่เขามีให้  แต่เนื่องจาก
  • เราเห็นว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว  แล้วยังมีประชาชนมาทำการละหมาดกัน  จึงไม่อยากเข้าไปรบกวน
  • ในส่วนของมัสยิด ที่มีความงดงามมากถูกตบแต่งด้วยพรมสีเหลืองทองอลังการ และกลางห้อง
  • ยังถูกประดับตกแต่งด้วย แชนเดอร์เลียอันใหญ่จาก ออสเตรีย หนัก 3.5 ตัน ประดับอยู่








  • ที่เที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจในบรูไนอีก เช่น 

  • อุทยานแห่งชาติอูลู เต็มบูรง (Ulu Temburong National Park)

  • เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ อยู่ทางใต้ของเขตบูรง มีลักษณะเป็นป่าดิบชื้นขนาดใหญ่ 
  • สามารถพบพันธุ์ไม้และสัตว์หายากหลากชนิด เช่น ลิงจมูกยาว หรือผีเสื้อราชาบรูก 
  • ได้เพียงที่นี่ที่เดียวบนเกาะบอร์เนียว เหมาะสำหรับศึกษาสภาพแวดล้อมลและธรรมชาติ

  • พิพิธภัณฑ์โรยัลเรกาเกลีย 

  • เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ได้รับการโหวตจาก 8 ประเทศอาเชียนว่าเป็นที่น่าชมที่สุด เพราะเป็นที่ที่รวมรวม
  • ข้าวของเครื่องใช้ของสุลต่านองค์ปัจจุบัน  เช่น เครื่องทรงทองคำที่พระองค์ใช้ในวันขึ้นครองราชย์ 
  • เครื่องบรรณาการจากประเทศต่างๆ   มงกุฎทองคำ  บัลลังค์ทองคำ  เป็นที่ที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย

  • แต่เนื่องจากเวลาอันแสนจำกัดของเรา  ไปได้เพียงเท่านี้เราก็พอใจสำหรับการเที่ยวแบบประหยัด
  • ทริปนี้ได้มาเยี่ยมเยือนเพื่อนบ้านที่ประเทศบรูไน  เราก็พอใจและมีความสุขอย่างที่สุดแล้ว

  • กลับออกจากที่มัสยิดทองคำก็เป็นเวลาค่ำพอดี  เราเกรงใจเจ้าของบ้านจึงชวนเขากัลบที่พัก
  • ระหว่างทางผ่านตลาดเราเห็นเปิดไฟสว่างไสว  และถือว่าโชคดี  อพาร์มเม้นท์ของ Asif อยู่ใกล้ๆ
  • กับตลาดกลางคืนพอดี  แล้วยังใกล้กับมัสยิดทองคำด้วย  หลังจากนี้เราคงเข้าที่พักกันก่อนแล้วจึงไปเดินเล่นที่ตลาดเพื่อหาอะไรกินกัน       



  • เราไปอพาร์เม้นต์ของโฮสต์ผู้อารี  อิอิอิ  อยู่บนขั้น 5   ห้องพักห้องเล็กห้องนึงถูกเตรียมไว้ให้เรา
  • แต่จริงๆ  เราจะเรียกว่าห้องเก็บเสื้อผ้าดูจะเหมาะดี  เพราะมีที่รีดผ้าด้วย  มี 1 เตียงเล็ก เราแบ่งพื้นที่กันนอน  ดีนะห้องมีแอร์ให้ด้วย  อย่างน้อยก็ไม่ร้อนล่ะนะ  อากาศที่บรูไน ร้อนอ้าวพอสมควร  ฝนทำท่าจะตกด้วย  


  • จากหน้าต่างที่พักในห้อง โฮสต์เรียกเราไปดูตลาดและทางเดินที่เราสามารถจะเดินไปได้
  • จากที่พักประมาณ 10 นาที  ผ่านริมแม่น้ำ  ผ่านห้างไปยังตลาดสด 


  • Asif  บอกเราว่า เธอนอนได้ตามสบาย ขออย่างเดียวอย่าสนใจสภาพภายในห้องเขามากนัก
  • 5555  ผู้ชายอยู่ตัวคนเดียว  มักจะรกกันแบบนี้เสมอเลยเหรอป่าวหนอ  อิอิอิ


  • เราเก็บข้าวของเข้าที่แล้วก็เดินไปตลาดดีกว่าเพราะดูท่าแล้วฝนกำลังจะมา
  • เดินได้สักพัก ก็มาถึงตลาด เปิดไฟสว่างไสวมาแต่ไกล


  • อาหารมากมาย ทั้งพืชผัก  ของแห้ง อาหารสำเร็จรูป  ปิ้งย่างมีหมด
  • เราเดินดูกันรอบๆ  ซื้อน้ำดื่ม ลองสะเต้ะ  กันไป อร่อยไม่อร่อยก็ลองไปเพื่อให้รู้
  • วิถีชิวิตของคนที่นี่  แต่คนส่วนใหญ่ที่เราเห็นก็ธรรมดานะ  รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้ต่างไปจาก
  • คนไทยอะไรมากนัก  เราเลือกข้าวราดแกง อิอิอิ  ราคา 1.50 เหรียญบรูไนไปกินเป็นอาหารเย็น
  • เราตกลงกันว่าซื้อกลับไปทานที่ห้องดีกว่า  โดยที่เราซื้อไปฝากโฮสต์ด้วย 1 กล่อง 
  • อาหารที่นี่จะเริ่มที่ 1 เหรียญบรูไน หรือประมาณ 25  บาทขึ้นไป  อาหารส่วนใหญ่ไม่ต่าง
  • ไปจากอาหารของประเทศมาเลเซียมากนัก  คือๆ กัน อิอิ

  • ผู้คนคึกคัก  ในเวลาไม่นาน ตลาดเย็นแห่งนี้ บางร้านเริ่มปิดการขาย
  • เราเองซื้อเสร็จก็พากันเดินกลับมายังทางเดิม ผ่านห้าง แวะซื้อน้ำดื่ม  น้ำดื่มในมินิมาร์ท
  • ขวดใหญ่ แบบ 1.5 ลิตร  ประมาณ ไม่ถึง 1 เหรียญดี  เป็นเงินไทยน่าจะประมาณ 20  บาท 
  • แต่ระหว่างทางที่เราเดินกลับ  ฝนกลับเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา  เรากึ่งเดินกึ่งวิ่ง  แต่ก็หาได้พ้น
  • อำนาจของพระพิรุณไม่  สายฝนโปรยปรายกระหน่ำเราสามคนอย่างไม่ปราณี
  • กว่าจะถึงที่พัก  เรียกว่าเปียกปอนชุ่มโชกไปตามๆ กัน  เราทานอาหารร่วมกันในคืนนั้น
  • แล้วพักผ่อนกันที่บ้านของโฮสต์นั่นเอง


  • 3  มกราคม  2557  

  • เช้านี้เราตืนมาอาบน้ำเก็บข้าวของ มีพี่คนไทยเขาเป็นช่างประจำอยู่ที่ตึกที่โฮสต์พัก
  • เขาใจดีทำอาหารเช้ามาให้เราทานกันด้วย  ทั้งใข่เจียว ต้มยำ ข้าว  อร่อยสุดๆ
  • เราทานอาหารเช้ากัน ปลุกโฮสต์ รบกวนโฮสต์ไปส่งท่าเรือ  เพื่อกลับไปยังเกาะลาบวนในตอนเช้า


  • แต่เราคิดผิด เราไปถึงที่นั่นช้าไป เรือออกไปแล้ว  ที่ขายตั๋วก็ปิด  เราลืมเผื่อเวลา สำหรับการ
  • ซื้อตั๋วที่ท่าเรือเมารา  และการผ่านด่าน ตม เพื่อกลับออกนอกประเทศ  เมื่อเราไปถึงจึงหมดเวลาตรงนั้น
  •  ขอแนะนำว่า ถ้าใครไปแบบเราโดยการนั่งเรือไปกลับ  ควรจะเผื่อเวลาให้สำหรับเรือเฟอรรี่รอบแรก
  • จากบรูไน  สำหรับรอบแรกนั้นเริ่มที่เวลา 9.00  น  ควรไปถึงก่อนเพื่อซื้อตั๋วและผ่านด่านประมาณ
  • 7-8 โมงเช้า   เพื่อจะได้ทันเวลา   เราสามคนยืนเคว้งเลย  รีบหาโทรศัพท์โทรกลับไปหา Asif
  • รบกวนให้เขากลับมารับเราที่ท่าเรืออีกครั้งเพราะหลังจากที่เขาส่งเราลงด้านหน้า เขาคงยังไปได้
  • ไม่ไกลนัก  เราขอให้เขาไปส่งที่ท่ารถอีกครั้ง เพื่อที่เราอาจจะได้มีรถบัสไปยังส่วนอื่นๆ  ในมาเลเซีย
  • เช่น มิริ หรือโคตาคินาบาลู ก็ได้  แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น รถบัสไปที่นั่นมีเพียงวันละรอบ
  • แล้วเราก็ไม่ทันเวลา  แล้วการเดินทางโดยรถบัสใช้เวลาเป็นวันเลยทีเดียว  

  • เราไปนั่งอาศัยไวไฟที่ร้านกาแฟเพื่อเช็คราคาค่าเครื่องบินกันสำหรับการบินกลับกัวลาลัมเปอร์
  • มีของแอร์เอเชีย  แต่่ Asif  แนะนำเราให้ไปใช้บริการ มาเลเชีย แอร์ไลน์ เพราะราคาที่ได้
  • ไม่แตกต่างจาก แอร์เอเชียเลย แต่มาเลเชีย แอร์ไลน์เป็นสายการบินใหญ่ ไม่ใช่โลว์คอสต์
  • แบบแอร์เอเชีย เราเลือกบินกับมาเลเซียแอร์ไลน์ในเที่ยวบ่ายสาม แล้วไปถึงกัวลาลัมเปอร์ในตอน 
  • 5-6 โมงเย็น  เพราะหากมีเวลาเหลือเรายังสามารถเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองกัวลาลัมเปอร์ได้

  • สรุปเราสามคนได้ตั๋วกันในราคาที่ประมาณ 4400++  ต่อคนสำหรับเที่ยวบินจากบรูไน
  • ไปยังกัวลาลัมเปอร์   เราอำลา Asif ที่นี่ เพราะจากตรงนี้เราสามารถเดินไปยังท่ารถ 
  • แล้วต่อรถเมล์ไปยังสนามบินได้  โดยใช้เวลาไม่นาน   ในราคา  1 เหรียญบรูไน  



  • หลังจากขึ้นรถเมล์มาได้  สาย  36  เราถามว่าไปแอร์พอร์ตไหม เขาพยักหน้า  
  • เราก็ขึ้นไปนั่งกันเลย  ไม่นานรถก็ออก  ผ่านโน่น ผ่านนี่ไป  แวะส่งชาวบ้านชาวช่องกัน
  • อย่างที่บอก ถ้ามาบรูไน แล้วคิดจะอาศัยรถเมล์เป็นหลัก  เผื่อเวลากันไว้เยอะๆนะคะ 
  • 555 เพราะกว่าจะถึงที่หมาย คุณอาจจะได้เห็นสถานที่หลายๆ แห่งๆ  แตกต่างกันไป 
  • ทั้งบ้านเรือน ที่พัก ย่านอาศัยหลายๆ แห่ง  เพราะคนขับรถส่งทุกที่  555






  • อีกไม่นานนัก เราก็มาถึงสนามแห่งชาติบรูไน



  • รถเมล์จอดส่งเราด่้านหน้าผู้โดยสารขาออก  ดีจัง รถสามารถวนไปส่งเราได้เลย  555  
  • ต่างจากบ้านเราก็ตรงนี้แหละ ที่ชอบ   รถส่งเราที่หน้าอาคารผู้โดยสารขาออก 
  • แต่สภาพเงียบๆ เหงาๆ พิกลแฮะ


  • แต่พอเข้าไปข้างในแล้ว  ถึงได้รู้ว่ากำลังมีการปรับปรุงชุดใหญ่ 
  • เพื่อต้อนรับอาเชียนให้มีความเป็นสากลมากขึ้น




  • แต่ที่บรูไน มีสายการบินเพียงไม่กี่สายเท่านั้นที่ให้บริการระหว่างประเทศ
  • เช่น มาเลเชีย แอร์ไลน์  แอร์เอเชีย  และของ รอยัล แอร์บรูไน  รวมทั้งการบินไทย
  • ช่องเช็คอิน มีเพียงไม่กี่ช่อง ก่อนเข้าไปเช็คอินต้องผ่านการตรวจกระเป๋าก่อน


  • ได้ตั๋วมาแล้ว ก็ต้องเดินไปด้านหลัง เพื่อเข้าไปยังด่านตรวจคนเข้าเมือง

  • ตั๋วเช็คอินที่ไดรับ

  • นอกจากจะเช็คอินที่เคาน์เตอร์แล้ว  ที่บรูไน เรายังต้องเสียภาษีสนามบินกันด้วย
  • คนละ  20 เหรียญ บรูไน  หรือ ประมาณ 500  บาทไทย 
  • เขาจะตรวจก่อนจะผ่านไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองค่ะ 



  • ผ่านด่านกันไปแล้วก็ไปยังอาคารผู้โดยสารรอขึ้นเครื่อง  สภายภายในโอ่อ่าพอสมควร 
  • แต่คนไม่ค่อยมี  หรือเขายังไม่มากันก้ไม่รู้เนอะ   จากประเทศที่ส่วนใหญ่ประชากรเป็นมุสลิม
  • ส่วนหนึ่งจะอยู่ในห้องละหมาด เพื่อทำการละหมาดกันตามเวลากันด้วย






  • เดินชมรอบๆ ทั้งร้านของฝากร้านทอง ห้องน้ำ  
  • ห้องนำที่นี่จะอยู่ด้านล่าง  เดินลงบันไปตามภาพด้านบน  
  • มีห้องอาบน้ำ  แยกจากห้องน้ำด้วยสำหรับ ผู้หญิง  เราไม่รู้ว่าห้องน้ำชาย
  • จะมีด้วยหรือเปล่า อิอิ  ไม่ได้เดินเข้าไปดูน่ะ  

  • แล้วมานั่งรอขึ้นเครื่องกันที่หน้าประตูทางออก  ที่นี่จะผ่านการตรวจหลายชั้นมาก
  • เพราะพอออกจากประตูขึ้นเครื่อง ก็ยังต้องตรวจกันอีกรอบ  การทำงานโดยทั่วไป
  • เราว่าค่อนข้างช้าพอสมควร แบบเหมือนว่า เขาจะเซตเวลาไว้เลย ไม่มีการทำล่วงหน้านานๆ


  • ผ่านประตูเจอด่านตรวจแล้วไปนั่งรอ  วันนี้เครื่องดีเลย์พอสมควรประมาณ 30  นาที
  • และแล้วเครื่องก็มาจอดเทียบท่า  ลำนี้แหละที่จะพาเราบินฝ่าสายฝนไปยังกัวลาลัมเปอร์
  • ใช้เวลาบินจากนี่ประมาณ 2.30  ชม  


  • เราโหลดกระเป๋าไปด้วยเพราะบริการรวมในตั๋วอยู่แล้ว ไม่ต้องจ่ายเพิ่มแบบแอร์เอเชีย
  • เราเลยโหลดเป้ไปด้วยเลย  เครื่องบินขึ้นได้ไม่นาน  แอร์โฮสเตส ก็เริ่มแจกอาหารน้ำดื่ม
  • อาหารมีปลากับไก่  เราเลือกไก่มา  เป็นข้าวผัดแซ่บๆ อร่อยดี ไก่ทอดกรอบ 
  • พี่ที่เลือกปลามาทาน บอกปลาเหม็นคาว นิดหน่อย ไม่อร่อยเท่าไร  อิอิ  ดีนะสั่งไก่
  • แต่ไม่มีของหวานให้นะ  ไม่เต็มคอร์สแบบสายการบินยุโรป  แต่ก็มีไวน์ มีเครื่องดื่มต่างๆเสริฟให้


  • กินอิ่ม นอนหลับไม่นานเราก็ไปถึงกัวลาลัมเปอร์  ที่สนามบิน KLIA
  • เราตกลงกันว่าเข้าไปหาที่พักในตัวเมืองกันดีกว่าเพราะยังมีเวลาทั้งคืน
  • ดีกว่ามานั่งนอนกันอยู่ที่สนามบิน เราลงจากเครื่องแล้วผ่านรถไฟไปยังอาคารด้านใน  ผ่านด่าน ตม ออกมายังจุดรอรับผู้โดยสาร วันนี้มีการแสดงโชว์ต้อนรับของมาเลเซียพอดี เนื่องจากมาเลเซียประกอบด้วยรัฐต่างๆ  รวมเข้าด้วยกัน  จึงมีชุดแต่งกายแตกต่างกันออกไป  







  • ชื่นชมการแสดงกันไป ได้กระเป่าแจกมาคนละ 1 ใบ  เราก็ไปยังชั้นสองเพื่อต่อรถเข้าไป
  • ยังกัวลาลัมเปอร์ โดยเป้าหมายอยู่ที่  ย่าน Central  เซ็นทรัล ที่อยู่ในตัวมืองกัวลาลัมเปอร์  
  • ตั๋วโดยสารราคา  10 RM  ซื้อตั๋วได้ที่ช่องขายตั๋วที่ชั้นสองของอาคารสนามบิน
  • ซึ่งที่นั่นจะมีตลาด ร้านค้าห้างร้านต่างๆ ให้ได้เดินช๊อปปิ้งกัน 
  • แล้วยังมีโรงแรมที่พักต่างๆ มากมายให้เลือกใช้บริการได้



  • เราเดินสอบถามราคาโรงแรมต่างๆ  ได้ 1 คืนสำหรับ 3 คน ในราคา 900  บาท  หารกันแล้ว
  • ตกคนละ 300    แต่คืนนี้เราขอนอนพักเพราะเจ็บเท้า  แต่สมาชิก 2 คน ขอไปเดินช๊อปปิ้งกัน 
  • อิอิอิ  กลับมาได้ของกันมาด้วยแหละ 


  • สรุป 10 เรื่องน่ารู้ในบรูไน 
  • 1.เวลาที่ประเทศบรูไนเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง
    2.คุณสามารถใช้จ่ายด้วยเงินสกุลดอลลาร์บรูไนและดอลลาร์สิงคโปร์
    3.คุณสามารถเช่ารถขับได้จากสนามบิน ถนนดีจึงขับรถง่ายและน้ำมันที่บรูไนถูกมาก
    4.คุณควรหยุดรถเพื่อให้คนข้ามทางม้าลายทุกครั้ง
    5.ประเทศบรูไนมีความปลอดภัยสูงและสวัสดิการดีเยี่ยม
    6.บางสถานที่จะปิดทำการวันศุกร์ เพราะถือเป็นวันศุกร์สิทธิ์ตามหลักศาสนาอิสลาม
    7.การติดต่อธุรกิจกับบรูไน คุณไม่ควรพูดคุยเรื่องงานเพียงอย่างเดียวควรรู้จักสนิทสนมกันอย่างจริงใจด้วย
    8.การเปิดไฟกระพริบหน้ารถเป็นสัญญาณให้ทางต่างจากไทยที่เตือนไม่ให้ขับข้ามเลน
    9.ไม่ควรถ่ายรูปเมื่อเข้าไปภายในศาสนสถาน เช่น มัสยิส
    10.ย่านกาดอง (Gadong) คือแหล่งช็อปปิ้ง กิน ดื่ม เที่ยว รวมถึงแหล่งที่คุณจะซื้อของฝากกลับบ้านด้วย

  • 4  มกราคม 2557   มุ่งสู่บาหลี

  •  ตื่นกันแต่เช้าเก็บข้าวของ สมาชิก 2 คน ขอเดินไปสำรวจตลาดเช้ากัน
  • ก่อนจะกลับมาแล้วไปขึ้นรถต่อไปยังสนามบิน LCCT  ในราคาคนละ  10 RM หรือ  100  บาท
  • ก่อนที่จะไปขึ้นเครื่อง เราก็ไปทำการเช็คอินด้วยตัวเองที่ตู้คีออสของแอร์ เอเชียที่สนามบิน
  • จากจุดนี้ก่อนจะไปยังด่าน ตม  ขาออก   บอร์ดดิ้งพาส ที่ได้มา เราต้องนำไปยังเคาน์เตอร์แอร์เอเชีย
  • เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการเช็คอีกที แล้วจึงจะไปผ่านบันได ไปยัง ตม ได้    
  • เราแยกย้ายกันไปกับสมาชิก  เราขอไปหาของกินก่อนรองท้องก่อนจะบินไปยัง
  •  เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเชีย

  • ตอนที่ 3  บาหลี ดินแดนที่ฝันถึง

  • จังหวัดบาหลี




  • จังหวัดบาหลี เป็น 1 ใน 34 จังหวัดของประเทศอินโดนีเซีย เมืองสำคัญคือเดนปาซาร์ พื้นที่ทั้งหมด 5,634.40 ตารางกิโลเมตร มีประชาการทั้งสิ้น 3,422,600 คน ความหนาแน่นของประชากร 607 คน/ตารางกิโลเมตร ภาษาที่ใช้คือภาษาอินโดนีเซียและภาษาบาหลี วิกิพีเดีย


  • ประชากร4.22 ล้าน (พ.ศ. 2555)



  • พื้นที่5,780 ตร.กม.



  •  ประชากรส่วนใหญ่บนเกาะบาหลีนับถือศาสนาฮินดู ซึ่งส่วนใหญ่ชาวบาหลีได้รับวัฒนธรรมจากอินเดียเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็น ศาสนา ตลอดจนอักษรและภาษา ฯลฯ โดยนำมารวมกับวัฒนธรรมประจำท้องถิ่น และนำใช้อย่างแพร่หลาย 

              อย่างไรก็ตาม "บาหลี" ยังคงมีความงดงามตามธรรมชาติ อาจเพราะมีกฏหมายห้ามปลูกสิ่งก่อสร้าง ที่เป็นสิ่งแปลกปลอมจากธรรมชาติ อีกทั้งอาคารที่จะสร้างต้องมีความสูงห้ามเกิน 15 เมตร รวมถึงรักษาวิถีชีวิตและความเชื่อในแบบดั่งเดิมไว้ไม่เสื่อมคลาย 

  • เราตื่นเต้นจังกับการมาเยือน บาหลีเป็นครั้งแรก  วางแผนจะมานานถึง 2 ปี  มัวแต่ไปที่อื่น  5555
  • วันนี้ได้มาเยือนซะที  สำหรับของขวัญวันเกิดให้ตัวเราเอง ให้รางวัลชีวิตเป็นบาหลี 1 ทริป คุ้มค่ามากค่ะ

  • แต่สำหรับตอนที่ 3  บาหลี ดินแดนที่ฝันถึง ขอยกยอดไปขึ้นบล๊อคใหม่นะคะ  
  • เนื่องจากเนื้อหาที่อาจจะยาวพอสมควรในบล๊อคเดียวกัน เราว่าไปเริ่มบล๊อคใหม่ดีกว่า
  • สำหรับทริปบาหลี 4-7 มค 57     เพื่อความสะดวกในการอ่านและติดตามข้อมูล
  • ติดตามอ่านได้ตามลิ้งค์นี้ค่ะ 



  • ตอนที่ 3 บาหลีที่รัก 4-7 มค 2557

















































  •                                                                                          





















































































































































  • 2 ความคิดเห็น:

    1. เยี่ยมมมไปเลยค่ะน้องกวาง

      ตอบลบ
      คำตอบ
      1. ขอบคุณค่ะที่เยี่ยมชม ทริปนี้มี 3 ตอนนะคะ มาเล บรูไน แล้วก็บาหลี

        ลบ