วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

ตอนที่ 3 บาหลีที่รัก 4-7 มค 2557

ความเดิมจากตอนที่ 1 และ 2   ย้อนไปอ่าน http://desertflower9430.blogspot.com/2013/12/31-56-7-57.html










  • ตอนที่ 3  บาหลี ดินแดนที่ฝันถึง






  • จังหวัดบาหลี เป็น 1 ใน 34 จังหวัดของประเทศอินโดนีเซีย เมืองสำคัญคือเดนปาซาร์ พื้นที่ทั้งหมด 5,634.40 ตารางกิโลเมตร มีประชาการทั้งสิ้น 3,422,600 คน ความหนาแน่นของประชากร 607 คน/ตารางกิโลเมตร ภาษาที่ใช้คือภาษาอินโดนีเซียและภาษาบาหลี 





  •  ประชากรส่วนใหญ่บนเกาะบาหลีนับถือศาสนาฮินดู ซึ่งส่วนใหญ่ชาวบาหลีได้รับวัฒนธรรมจากอินเดียเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็น ศาสนา ตลอดจนอักษรและภาษา ฯลฯ โดยนำมารวมกับวัฒนธรรมประจำท้องถิ่น และนำใช้อย่างแพร่หลาย 

              อย่างไรก็ตาม "บาหลี" ยังคงมีความงดงามตามธรรมชาติ อาจเพราะมีกฏหมายห้ามปลูกสิ่งก่อสร้าง ที่เป็นสิ่งแปลกปลอมจากธรรมชาติ อีกทั้งอาคารที่จะสร้างต้องมีความสูงห้ามเกิน 15 เมตร รวมถึงรักษาวิถีชีวิตและความเชื่อในแบบดั่งเดิมไว้ไม่เสื่อมคลาย 

  • เราตื่นเต้นจังกับการมาเยือน บาหลีเป็นครั้งแรก  วางแผนจะมานานถึง 2 ปี  มัวแต่ไปที่อื่น  5555
  • วันนี้ได้มาเยือนซะที  สำหรับของขวัญวันเกิดให้ตัวเราเอง ให้รางวัลชีวิตเป็นบาหลี 1 ทริป คุ้มค่ามากค่ะ


  • หลังจากใช้เวลาบินประมาณ 2 ชม จากกัวลาลัมเปอร์ เราก็มาถึง 

    ท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร


  • ท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร (อังกฤษNgurah Rai International Airport) (IATADPSICAOWADD) หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ท่าอากาศยานนานาชาติเดนปาซาร์ (Denpasar International Airport) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะบาหลี ห่างจากเดนปาซาร์ไปทางใต้ 13 กิโลเมตร ตั้งชื่อตาม I Gusti Ngurah Rai วีรบุรุษประจำชาติอินโดนีเซียที่เสียชีวิตใน Battle of Marga ระหว่างการปฏิวัติอินโดนีเซีย[1]

    ท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไรเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่มีผู้โดยสารคับคั่งมากเป็นอันดับ 3 ของอินโดนีเซีย รองจากท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตาที่กรุงจาการ์ตาและท่าอากาศยานนานาชาติจวนดาที่สุราบายา ห่างออกไปทางเหนือ 2.5 กิโลเมตรคือเมืองกูตา ซึ่งเป็นสถานที่พักตากอากาศที่พัฒนาขึ้นเพื่อการท่องเที่ยว เมื่อ พ.ศ. 2548 Transportation Security Administration แห่งสหรัฐอเมริกาได้ประกาศเตือนว่าท่าอากาศยานแห่งนี้มีมาตรฐานด้านการรักษาความปลอดภัยต่ำกว่าที่ International Civil Aviation Administration กำหนดไว้[2] แต่ต่อมาคำเตือนนี้ถูกยกเลิกไปเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2550



  • 4    มค  2557 

  • ซึ่งวันที่เราไปถึงนั้น มีบางส่วนกำลังตกแต่งใหม่อยู่   อากาศร้อนไม่แตกต่างไปจากมาเลเซียและบรูไน  รวมทั้งฝนฟ้าด้วยครึ้มมาเลยทีเดียว แต่เราว่าสนามบินเขาใหญ่ดีนะ  กว้างมาก  สำหรับคนไทยไม่ต้องทำวีซ่าค่ะ  เดินลงจากเครื่อง รับกระเป่าแล้วผ่านด่าน ตม ได้เลย  ทริปนี้เราใช้บริการเช่ารถพร้อมคนขับสำหรับ 4 วันในบาหลี   แต่วันนี้เครื่องดีเลย์พอสมควร  แอบลุ้นอยู่ว่า  คนขับจะยังรอเราอยู่ไหมหนอ  




  • ผ่านด่าน ตม ออกมา  เราออกมาดูคนขับที่มายืนถือป้ายชื่อรอเราอยู่แล้ว  แอบโล่งใจ อิอิอิ  
  • เห็นป้ายชื่อเราแล้ว  ก็เข้าไปแสดงตน  รอสมาชิกอีก 2 ท่าน เดินมาสมทบก็พร้อมออกเดินทาง







  • ตามแผนวันแรกของวันที่ 4 มค 57 ในช่วงบ่ายเราไปตามแผนที่กำหนดไว้ 


  • หลังจากที่เราออกมาจากสนามบินแล้ว ก็ไปกันเลยค่ะ 
  • คนขับรถพาเราแลกเงิน  เราใช้เงินไทยแลกไป 3 พันบาท พร้อมกับเงิน บรูไนที่เหลือ และเงินริงกิต
  • เราขอบอกอัตราคำนวณแบบคร่าวๆ ได้ที่  300  รูเปียห์ ต่อ  1 บาทไทย  เพื่อความสะดวกในการคิดเงินคร่าวๆ  นะคะ  

  • ที่แรก ที่เราไปถึง คือ  
  • การูด้าวิษณุเคนคานา (GWK Garuda Wisnu Kencana) 

  • การูด้าแปลว่า  ครุฑ   ที่นี่เราเรียกว่า  สวนวิษณุ การูด้า เป็นสวนขนาดใหญ่ที่มีพระวิษณุองค์ใหญ่ถูกสร้างด้วยทองเหลืองที่มีน้ำหนักมากถึง 4000  ตัน  ใช้เวลาในการสร้างมากกว่า  20 ปี แต่ยังแล้วเสร็จไปแค่ 30 %  เท่านั้นเอง
  • ภายในสวนนี้จะมีรูปปั้นพระวิษณุ และ ครุฑ ขนาดใหญ่มากๆๆ  อยู่เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้มากราบไหว้
  • สักการะกันเพื่อความเป็นศิริมงคล  โดยทั้งชาวพุทธ และฮินดู ต่างก็เดินทางมากัน  เพราะทั้งสองศาสนาเราว่ามีความใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก  และมีมากมายที่ชาวไทยอย่างเรา  ต่างก็นับถือเทพเจ้าต่างๆ ในศาสนาฮินดูกันนะ  
  • ที่สวนการูด้าจะมีค่าเข้าชม  80000  รูเปียห์   หรือประมาณ 270  บาท  แต่เราไม่ได้เข้าไปชมข้างใน เพราะต้องรีบไปวัดอีกที่นึงก่อนที่มันจะมืด เพร้อมฝนที่ไล่หลังเรามา


  •  สภาพถนนหนทางที่เราเห็นจากนอกเมือง  ถนนค่อนข้างเล็กแคบพอสมควร  แต่คนที่นี่ก็ขับรถกันได้อย่างสบายๆ  คงเพราะความเคยชินนั่นเองนะ  บ้านเรือนที่นี่ อากาศ ภูมิทัศน์โดยรอบ  เราว่าไม่แตกต่างนักกับย่านชนบท หรือแถบชานเมือง  หรือแถวๆ  บ้านเรา อิอิอิอิ
     




  • ที่ต่อไปคือ  วัดอูลูวาตู


  • วัดอูลูวาตู Uluwatu   / temple on the cliffs


  • วัดอูลูวาตู เป็นวัดหลักประจำท้องทะเลที่มีความสุง 70 เมตร  ตั้งอยู่บนไหล่เขา ริมหน้าผาทางใต้สุดของเกาะบาหลี   ได้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษ ที่ 10  โดย เอิมปู กูรูตัน และ  ดังห์ยัง นิราห์ต้า  นักบวชที่ว่ากันว่า ดังห์หยัง นิราห์ตา เข้าถึงความหลุดพ้น ณ วัดนี้     ประตูผ่าซีก หรือ  จันดีร์ เบินตาร์  ของวัดนี้ไม่ธรรมดาตรงที่ด้านข้างสลักเป็นลักษณะของปีก  ส่วนทางเข้าสู่ลานวัดชั้นที่สอง ประจำยามโดยรูปปั้นพระคเณศเศียรช้างที่ผู้คนนับถือว่าเป็นเทพผู้ปัดเป่าอุปสรรค    สถานชั้นในสุดอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ เจโรอัน นั้นได้เฉพาะผู้ที่จะสวดบูชาเพื่อเทพแห่งท้องทะเล  และนอกจากนี้ยังมีฝูงลิงจำนวนมาก ซึ่งอาศัยอยู่ภายในวัดแห่งนี้    ซึ่งลิงแห่งนี้นี่เองที่ขึ้นชื่อเรื่องความร้ายกาจในการขโมยของนักท่องเที่ยว  แต่ คนขับรถบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เขาจะเป็นบอดี้การ์ดให้เราเอง
  • แต่ก่อนจะเข้าไปนั้น จำต้องสวมผ้าคาดเอว เพื่อเป็นการสักการะ  หากผู้หญิงท่านใดใส่ขาสั้น ก็ต้องนุ่งโสร่งด้วย   แต่เรามีผ้าพันคออยู่แล้ว  จึงนำมาทำผ้าคาดเอวซะเลย  





  • จากจุดนี้เราต้องเดินไป ลัดเลาะริมหน้าผาที่เขาทำทางเดินไว้แล้วเพื่อขึ้นไปยังอีกฝั่งนึง



  • เราเดินลัดเลาะกันไป  แปลกใจเล็กน้อยว่าทำไม ลิงจึงไม่ค่อยมี ได้ข่าวร่ำลือถึงความร้ายกาจ
  • และความว่องไวในการฉกของนักท่องเที่ยว  แอบถามคนขับรถว่า จริงป่าว ที่ลิงที่นี่ถูกฝึกให้ขโมย
  • แล้วต้องไปเรียกเจ้าของหรือคนให้มาช่วยเอาของคืน โดยเขาคิดเงินค่าเอาของมาคืนด้วย
  • คนขับรถยิ้มๆ  แล้วตอบเราว่า  มั้ง อิอิอิ
  • แต่เรื่องของเรื่องคือ ก่อนหน้าที่เรามาถึง มีฝนตกไปชุดใหญ่  ลิงส่วนใหญ่
  • จึงหลบเข้าป่าเพื่อหลบฝน  เลยไม่มีมากวนใจนักท่องเทียวอย่างเราเท่าไร
  • ความฝันที่จะสู้กับลิงก็มีอันหายไป  แต่แอบดูจากหน้าผา เห็นลิงบางส่วนมันไปกระจุก
  • กันอยู่ตรงนั้นเอง  5555  เลยได้แต่แอบถ่ายรูปมมันมา



  • เดินไปเรื่อยชมความงามของบรรยากาศโดยรอบ  สวยงามชื่่นใจจริงๆ 






  • ทางเข้าสู่ลานวัดชั้นที่สอง ประจำยามโดยรูปปั้นพระคเณศเศียรช้าง
  • ที่ผู้คนนับถือว่าเป็นเทพผู้ปัดเป่าอุปสรรค 



  • แต่หลังประตูชั้นนี้ไปถูกปิด ไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมค่ะ 
  • ที่วัดส่วนใหญ่ทุกที่ในบาหลี จะเหมือนกันหมดคือ  ไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไป
  • นอกจากชาวบาหลีที่แต่งกายด้วยชุดประจำชาติเพื่อไปทำบุญเท่านั้น
  • นักท่องเที่ยวอย่างเราได้แต่ยืนชะเง้อและถ่ายรูปด้านนอกเท่านั้น



  • วัดอูลูวาตูนี้ สามารถเดินได้เป็นวงกลม วนไปตั้งแต่เข้าจนออก  วันนี้นักท่องเที่ยวเยอะมาก  
  • มากจนลิงกลัว  เลยไม่กล้าออก  หรือไม่งั้น มันก็คงกวนนักท่องเที่ยวทั้งวันจนเหนื่อยแล้ว 555


  • จุดนี้คนมุงกัน เราถามคนขับรถว่าเขามุงอะไรกัน  จึงเดินไปมุงกับเขาด้วย
  • เป็นที่ขายตั๋วนั่นเอง  สำหรับการเข้าชมพระธาตุเขี้ยวแก้วอะไรประมาณนั้น
  • เราถามคนขับรถนะ  เพราะพระธาตุนี้ไม่เปิดให้เข้าชมฟรี  ถ้าจะดูต้องเสียเงินเพิ่ม






  • เดินเล่่นชมนกชมไม้กันไปเรื่อย  อากาศเย็นๆ ชื้นๆ  เรียกความเหนียวเหนอะจากตัวเรา
  • ได้ดีพอสมควร  5555  สมควรแก่เวลาก็ต้องกลับไปเช็คอินเข้าที่พัก ที่เราจองไว้ในย่านอูบุด

  • ระหว่างทางพบกับครอบคร้วชาวบาหลี ที่แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองมาทำบุญกันที่วัดนี้ 



  • จริงๆ ที่นี่มีรถเมล์มาถึงด้วยนะ  แต่เราไม่แน่ใจกับเวลา เพราะถ้าเวลาจำกัดก็ต้องรีบไปรีบกลับ  
  • วัดอูลูวาตูปิดประมาณ  1 ทุ่ม  และรถเมล์จะหมดรอบประมาณ 5-6  โมงเย็น  ถ้าไม่อยากเสี่ยง
  • อาจจะมากับทัวร์แบบรายวันที่เขาขายกันเป็นแพกเกจในย่านอูบุดก็ได้  หรือจะเช่ามอเตอร์ไซค์ขับมา 
  • หรือจะเช่ารถยนต์ขับเอง หรือแบบมีคนขับให้ก็ได้  เพราะราคาน้ำมันที่นี่ค่อนข้างถูกลิตรละไม่กี่บาท


  • หลังจากนั้นเราก็กลับไปย่านที่พัก เพื่อเข้าโรงแรมที่เราจองมาจากทางอินเตอร์เนต
  • www.booking.com   คนส่วนใหญ่ชอบถามเรานะว่า  ทำไมต้องจอง  ไปเดินหาเอาไม่ได้เหรอ
  • เราตอบไปว่าแล้วแต่สถานการณ์ บางทีก็ไปเดินหา  บางทีเราก็หาไปจากอินเตอร์เนต  
  • เพราะการหาไปล่วงหน้าเราว่าสะดวกดี  บางทีเดินทางมาเหนื่อยๆ แล้วยังจะต้องมาเดินหา
  •  เปรียบเที่ยบราคา กว่าจะได้เข้าพัก  เราเลยชอบที่จะหาไปเลยมากกว่า เพราะเปรียบเทียบราคา
  • มาแล้วจากอินเตอร์เนต เราหาข้อมูลมาล่วงหน้าทำให้ประหยัดเวลาไปเยอะ 
  •   แต่ถ้าใครชอบไปหาข้างหน้า ก็แล้วแต่ท่านเถอะค่ะ  อย่าได้สงสัยอะไรนักเลย 55555


  • โรงแรมที่เราจองไว้อยู่ในย่านอูบุด  ที่นี่มีโรงแรมเป็นร้อย  สามารถมาเดินได้ไม่ต้องจอง
  • Nina House Hotel  โรงแรมที่เราจองมา
  • โรงแรมไม่ได้อยู่ติดถนน  เราให้คนขับรถโทรถาม ทางเดินจะเป็นซอยเล็กๆ เดินเข้าไปแบบนี้
  • แต่ห้องพักโอเคเลยค่ะ  เราชอบนะ  ค่าห้องหารกันสำหรับ 3 คน ตกคนละ 300++  บาท 
  • หรือ 1300000  รูเปียห์ โดยประมาณ  มีอาหารเช้าให้ด้วย  ไวไฟฟรี








  • เราเข้าที่พักเก็บของกันเรียบร้อยแล้ว  เราขออาบน้ำก่อน  แต่สมาชิกขอไปเดินเล่นก่อน  
  • เราจึงแยกย้ายกัน โดยที่เราอาบน้ำเสร็จจึงออกไปเดินในย่านทาเมลยามค่ำคืน  ช่วงหัวค่ำ
  • แสงไฟจากร้านค้า  ร้านอาหาร ผับบาร์ ยังเปิดกันสว่างไสว  เราเดินไปจนสุดทาง ตรง
  • Monkey  Forest  หรือป่าลิง ตรงปากทางเข้า  แต่ทางค่อนข้างมืดพอสมควร เราจึงเลี้ยวกลับ
  • ดีกว่า ไปหาอะไรกินจากร้านอาหารที่เราหมายตาไว้แล้ว


  • ร้านอาหารนี้ก่อนเข้าไปเราถามพนักงานว่ามีอะไรกินบ้าง  ได้ยินเธอตอบมาจับใจความได้
  • ว่า กบๆๆ    เราก็ กบไรวะ  เธอผายมือเชิญให้เราไปนั่งหลังร้าน  เพราะหน้าร้านจะมีโต๊ะ  5-6 โต๊ะ 
  • แต่ไม่มีคนนั่งเลย   เราเลยเดินตามเธอเข้าไป  อ้อ  หลังร้านเป็นบรรยากาศประมาณนี้นี่เอง  
  • เป็นทุ่งนา แบบธรรมชาติเลย  คละเคล้าไปด้วยเสียงกบ และสายฝนปรอยๆ  กบร้องระงมเลย





  • เราสั่งเบียร์ท้องถิ่นมาลองชิม  อิอิอิ  ยี่ห้อ บินตัง  เย็นเจี๊ยบ ชื่นใจ   กับสั่งอาหารเย็นมาทาน
    อากาศเย็นๆ สบายๆ  ชิวมากอ่ะ  นั่งทานคนเดียวไปแบบไม่เร่งรีบ   เพลินจนขวดที่ 2  ยกมาเสริฟ
    พอขวดที่ 2 มาปั้บ   เราได้ยินฝรั่งนั่งโต๊ะหลังนินทาเราว่า   ดูสิ ผู้หญิงมานั่งคนเดียว  คอยดูนะ
    มาแบบนี้  กินเสร็จแล้วคงจะหาผู้ชายท้องถิ่นไปนอนด้วยแน่ๆ   เราแทบสำลัก  แต่เลือกที่จะเงียบ
    แทนที่จะหันไปโวยตามสันดาน   อิอิอิ   เพราะเราคิดว่า  มุมมองนึงของการเดินทางของผู้หญิงที่
    เดินทางคนเดียว แถมยังมานั่งกินเบียร์คนเดียว  เพราะหากมองในมุมกลับกัน  หากเป็นคนไม่ดีหรือ
    คิดว่าเราเป็นผู้หญิงที่น่าจะ ชิวไปกับเขาได้  ก็คงอันตรายและน่ารำคาญใจกับเราพอสมควร
    เพราะเราเคยได้ยินว่า    มีผู้หญิงเอเชีย  เช่นเกาหลี หรือญี่ปุ่น  เดินทางมาคนเดียว  นางจะหาผู้ชายท้องถิ่นไปเป็นเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยวรวมถึง เพื่อนนอน  ..........  แต่นะ  แบบนี้ไม่ใช่สไตล์เรา  อิอิอิอิ



    อาหารมาแล้วเป็นข้าวสวยกับผัดผักเนื้อพริกไทย  อร่อยดีพอสมควร  
    เหลือบตาดูนาฬิกา  4 ทุ่มกว่า   ร้านปิดประมาณ 5 ทุ่ม   ดีที่ว่าไม่ไกลจากที่พัก
    เราเลยสบายๆ ไม่รีบ สั่งเช็คบิลแล้วกลับไปนอนพักผ่อนดีกว่า  


    5  มค 2557  


    เราหลับสบายมากเมื่อคืนไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์เบียร์ หรืออากาศที่เย็นสบายกันแน่  ไม่ต้องใช้พัดลมเลย
    อากาศก็เย็น เราปิดหน้าต่าง แต่ก็ไม่เห็นว่ามียุง ดึงมุ้งลงมาคลุมเตียงได้บรรยากาศไปอีกแบบ
    แต่เมือคืนตอนเดินกลับสิ  เราเดินเลยซอยไปมา 2 รอบ  หาซอยเข้าไม่เจอ เพราะตอนหัวค่ำ หน้า
    ทางเข้าโรงแรม  จะมีตู้เอทีเอ็มสีเหลือง  เป็นจุดสังเกตุ  แต่เราเดินกลับไปไม่เห็น จนเดินเลยไปไกล
    เลยอ้าว   ไม่ใช่แระ  เดินกลับมา ก็ยังเลยไปอีก  งง   พยายามมองหาตู้เอทีเอ็ม  เรื่องของเรื่องคือ
    เมื่อหัวค่ำตู้เปิดไฟ  พอดึกตู้เอทีเอ็มก็ปิดไฟ  เราเลยไม่เห็นนั่นเอง




    ที่นี่มีอาหารเช้าให้  ยกมาเสริฟให้ถึงห้องพักเลย  เราเลยสบายไปกับมื้อเช้านี้
















  • ศาลเจ้าเล็กๆแบบนี้เราจะพบเห็นได้แทบทุกที่  เราถามโซมาร์ว่า คืออะไร  เขาบอกว่า  นี่คือวัด
    คือคนบาหลีส่วนใหญ่นับถือฮินดู มีเทพเจ้ามากมาย นิยมสร้างวัดไว้ในตัวบ้านเพื่อทำการบูชา
  • ใครฐานะดี วัดก็ใหญ่หน่อย  ใครเนื่อที่น้อย  หรือ ฐานะพอประมาณ ก็จะมีวัดประมาณนึงอะไรแบบนี้








  •               วันที่ 2  แผนของวันนี้คือ ช่วงเช้าไปดูระบำบารอง แดนซ์  แต่ 2 สาวดูกันมาแล้ว 
  • จึงขอลงตรงตลาดในย่านทาเมล แล้วเราจะไปดูระบำบารองเองคนเดียวเพราะเราไม่เคยดู 
  • เราส่งเธอลงที่ตลาด ก่อนจะนัดกันในอีกประมาณ  2 ชม ข้างหน้า  จะกลับมาเราเพื่อไปยัง
  •  Tegalalang rice terrace view    นาขั้นบันได้ที่แรกที่เราจะไปชมกัน
  •  






  •       ระหว่างทางที่ขับรถไปดูบารองแดนซ์นั้น  เราเห็นสาวบาหลี เธอทัดดอกไม้ไว้ที่หู  เราถามโซมาร์
  • ว่าเขาทัดทำไม   โซมาร์บอก หลังจากที่เซ่นไหว้เทพจ้าแล้ว   นักบวชหรือคนทำพิธี จะนำดอกไม้มาทัด
  • หูให้  เอาข้าวสารเสกมาแปะหน้าผาก ประมาณว่า ให้พร   ระบำบารองห่างจากที่พักพอสมควรการที่เรา
  • เช่ารถพร้อมคนขับในบาหลี ถือว่าสะดวกสบายมากๆ ราคาไม่เช่าไม่สูงจนเกินไปนักด้วย




  • ระบำบารอง (Barong Dance) เป็นศิลปะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเกาะบาหลี อินโดนีเซีย บารองเป็นสัตว์ในตำนาน ซึ่งมีหลังอานยาวและหางงอนโง้ง และเป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณดีงาม ซึ่งเป็นผู้ปกปักษ์รักษามนุษย์ต่อสู้กับรังดา ตัวละครที่เป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณชั่วร้าย บารอง แดนซ์เป็นนาฏกรรมศักดิ์สิทธิ์ การร่ายรำมีท่าทีอ่อนช้อยงดงาม เสียงเพลงไพเราะ
  • เราไปถึงกำลังเริ่มการแสดงพอดี  ตีตั๋วเข้าไปเลย เลือกที่นั่งแถวหน้าสุดเลยจะได้เห็นใกล้



  •                                         นี่ตัวบารอง  ตัวแทนฝ่ายดี เป็นสัตว์ในนิยายโบราณ 












  •                                                                  นางรำออกมาร่ายรำ 










  •                                                                     รังดา  ตัวแทนฝ่ายชั่ว








  • จบการแสดงก็สามารถขึ้นไปถ่ายรูปกับตัวละครต่างๆได้  นักท่องเที่ยวขึ้นไปต่อคิวกันเยอะมาก
  • เรารอไม่ไหว เลยถ่ายๆไกลๆ เอาน่ะ  












  • หลังจบจากการชมระบำบารอง  จริงๆที่บาหลีมีระบำเยอะมากหลายอย่าง
  • แต่ที่โ่ด่งดังและขึ้นชื่อก็จะเป็นระบำบารอง  แต่ถ้าใครอยากดูหลายๆ
  • ระบำแบบนี้ก็สามารถติดต่อได้ตามย่านต่างในบาหลีหรือถามเอาจาก
  • บริษัททัวร์ในย่านทาเมลหรือลองสอบถามผ่านจากโรงแรมที่พักก็ได้ 

  • ระหว่างทางแวะถ่ายรูปวัดที่เขาสร้างไว้  จะเรียกว่าวัดส่วนตัวกันก็ได้นะคะ  
  • ตามกำลังและฐานะของแต่ละบ้านเลยค่ะ  แต่บางที่ก็จะเป็นวัดกลางสำหรับ
  • ชุมชนเพื่อการรวมตัวกันในงานใหญ่ๆ ของแต่ละงานหรือช่วงเทศกาลค่ะ 





  • จากที่นี่เรากลับไปรับสองสาวที่ตลาดในย่านทาเมล  วันนี้เราเช็คิอินเก็บกระเป๋าออกมาเลย
  • เพราะจะเปลี่ยนที่นอนในย่านทาเมลเราจะนอนที่นี่ 2 คืน เลยเลือกโรงแรมแตกต่าง
  • กันไป เพื่อความไม่จำเจ   สองสาวมาตามเวลาเป๊ะ  เราจึงมุ่งหน้าไปต่อที่
  •  Tegalalang rice terrace view   นาขั้นบันได้ทีแรกที่เราจะไปเยี่ยมชมกัน 
  • โดยมีค่าเข้าด้วยค่ะ  แต่ไม่แพงนัก 



  • เราจอดรถกันไว้ข้างทาง  โดยนาขั้นบันไดสามารถเดินลงไปชมวิวตรงระเบียงหรือสามารถ
  • เดินไปยังทุ่งนาเลยก็ได้  







  • มีร้านขายของที่ระลึก





  •                                             หรือสามารถนั่งทานอาหาร จิบกาแฟ ชมวิวก็ได้ค่ะ  








  • วิวก็ประมาณนี้  บางส่วนได้ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว แต่ดีว่าอากาศวันนี้มีฝนพรำๆ  เย็นสบาย
  • ทุกอย่างเลยดูเขียวชอุ่มอยู่





  •                           ขณะเดียวกัน สาวชาวบาหลี ก็ทำการบรวงสรวงเทพเจ้าของเธอที่ร้านค้า





    ของที่ระลึกแบบต่างๆ ถูกแพงก็ว่ากันไปตามชอบ












  • ออกจากที่นี่เราก็จะไปดูภูเขาไฟคินตามณี และทะเลสาบบาตูกันต่อ
  • แต่ระหว่างทางที่ไปเห็นแผงขายผลไม้อยู่ คุณหมอกับพี่ล้านสนใจเรา
  • เลยลงไปดูกัน  มีผลไม้จัดเป็นตะกร้าวางไว้  ซึ่งจริงๆมาบาหลี ผลไม้
  • ขึ้นชื่อก็ต้องเป็นสละ เพราะจะมีรสชาติหวานชื่นใจ  เห็นคุณหมอบอกเราเช่นนั้น


  •                                          แต่ที่โดนใจเรามากก็คือตาชั่ง  แบบโบราณ อิอิอิ  เก๋อ่ะ  








  • ไอ้ลูกอันนี้ เราไม่แน่ใจ  ว่ามันคือผลไม้อะไร  แต่ข้างในมันคล้ายๆ มะเขือมีรสเปรี้ยวนะ 
  • แต่เราไม่ได้ชิมหรอก  อิอิอิ  











  • คินตามณี (Kintamani) คือชื่อหมู่บ้านที่สวยงาม ได้ชื่อมาจากเมืองโบราณแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ริมปากปล่องภูเขาไฟกุนุง บาตูร์ มีทะเลสาบบาตูร์ และภูเขาไฟกุนุงบาตูร์ เป็นฉาก เป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่งของบาหลี   



    จริงๆที่นี่จะมีร้านอาหารบุฟเฟต์ ราคา 80000 รูปี แต่ไม่มีน้ำดื่มบริการ ต้องสั่งแยกตะหาก ด้วยสำหรับ
    มื้อกลางวัน แต่เราไม่ทานที่นี่  1  เพราะยังไม่รู้สึกหิว   2  อยากลองทานอาหารแบบพื้อนบ้านง่ายๆ
    ราคาไม่แพงมากกว่า  .....



    ธรรมเนียมประเพณีและการแต่งกายแบบพื้นเมืองทั้งชายและหญิง 
    รวมทั้งการแบกทูนของบูชาบนศีรษะตามแบบดั้งเดิม



    ปากปล่องภูเขาไฟบาตูร์ (Batur Crater Area) บริเวณนี้เป็นปากปล่องภูเขาไฟ ที่เกิดจากภูเขาไฟระเบิดเมื่อประมาณ 30,000 ปีมาแล้ว เป็นภูเขาไฟบนเกาะบาหลี ที่ชาวบาหลีให้การสักการะบูชา นับว่าเป็นภูเขาไฟที่มหัศจรรย์ของโลก มีความสูง 1,717 เมตร เคยปะทุพ่นลาวาและเถ้าภูเขาไฟมาแล้วหลายครั้ง ส่วนใหญ่เป็นการพ่นหินทรายสีดำกับควันไฟ





                                  ทะเลสาปกูนุงบาตู  ซึ่งเป็นทะเลสาปที่เกิดจาการยุบตัวของภูเขาไฟ




    หลังจากชมวิวภูเขาไฟกูนุงบาตูแล้ว  เราจะไปกันต่อที่วัดเบซาคี
    ที่ถือว่าเป็นวัดที่ใหญที่สุดของบาลีเลยทีเดียว

    ปุราเบซากิห์ (Pura Besakih) หรือวัดเบซากิห์ (วัดเบซากีห์) เป็นวัดที่มีความสำคัญที่สุดบนเกาะบาหลี คนบาหลียกให้เป็นวัดหลวง (Mother Temple) เป็นวัดในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดของบาหลี ยังถือเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเหนือวัดทั้งปวง มีบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยวัดเล็กๆ อีก 23 แห่ง แห่งที่เรียงรายอยู่เป็นขั้นๆ กว่า 7 ขั้นไปตามไหล่เขา 














    เราเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบน  วัดเบซากีห์ จะมีคนบาหลีมาบูชาเทพเจ้ากันทุกวัน  โดยในส่วนของ
    พอธีจะไม่อนุญาติให้คนนอกเข้าไปโดยเด็ดขาด  โดยวัดที่บาหลีเกือบทุกที่จะบังคับให้คาดผ้าที่เอว
    เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ   เราเดินไปชั้นบนสุด วนไปเรื่อยๆ จนถึงด้านหลัง เห็นร้านก๋วยเตี๋ยว
    โซมาร์บอกหิว จะนั่งรอที่นี่แหละ  เราเลยบอกงั้นก็กินด้วย  เพราะอยากลองอาหารท้องถิ่น




                                                          สามารถเลือกผักหรือเลือกเส้นใส่ได้




                                                  สามารถสั่งได้ด้วยว่า จะเอาเผ็ดมากเผ็ดน้อย




                            โซมาร์ไม่รอช้า  โซ้ยทันทีที่มาถึงแต่ก็ยังช้ากว่าเราที่แชะภาพทันที  อิอิอิอิ

    และถ้วยของเราก็ตามาติดๆ  ในถ้วยจะมีเส้น ผัก และก็ ลูกชิ้น ถามดูน่าจะเป็นเนื้อไก่ปั้นผสม
    แป้ง  แต่เรากินดู รู้สึกจะมีแต่แป้งนะ  กินไม่หมดหรอกลูกชิ้น ไม่ถูกใจ  แต่เส้นกะน้ำ  เราซด
    หมดเลย  น้ำร้อนๆ  เผ็ดนิดๆ  แทบไม่ต้องปรุง  ราคาไม่แพงด้วยจ๊ะ




                              ขากลับเดินสวนออกมา  ชาวบาหลีกำลังหลั่งไหลกันมาอย่างมากมาย



                             มีหาบเร่ด้วย มีน้ำ ขนม ของกิน  รวมถึงของบูชาเทพเจ้า  มีร่มขายอีกตะหาก



    ในส่วนของพิธีจะอนุญาติให้ชาวบาหลีเท่านั้น   แต่โซมาร์บอกเราว่า เข้าไปเถอะ ดูไกลๆ ได้  แล้ว
    จ่ายเงินให้นักบวชเป็นค่าบำรุงสถานที่   เราเดินเข้าไปเห็นชาวบาหลี นั่งอยู่ใจกลางลาน  แต่ไม่นาน
    เราก็ออกมา แล้วก็ไม่ได้จ่ายเงินด้วย  แหะ แหะ











    วัดเบซากิห์เปิดเข้าชมทุกวัน เวลา 8.00-17.00 น.


    เสร็จจากวัดเบซากีห์แล้ว  ขากลับเราจะแวะชิมกาแฟขี้ชะมด  แต่เรากินกาแฟไม่ได้
    คงได้แต่เดินเยี่ยมชมเท่านั้นแหละนะ

    Kopi Luwak หรือ กาแฟขี้ชะมดคำว่า Kopi ในภาษาอินโดนีเซีย แปลว่า  กาแฟ
    ส่วน Luwak หมายถึง ชะมดพันธุ์ Paradoxurus ที่อาศัยอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย 
    กาแฟขี้ชะมดเดิมเป็นกาแฟสายพันธุ์ โรบัสต้า ราคาถูก มีชาวอินโด ไปเดินป่า 
    แล้วพบเห็นขี้ชะมด มีกาแฟที่ไม่ถูกย่อย ยังคงเป็นรูปเมล็ดอยู่ จึงเกิดความเสียดาย
    เอามาล้าง และลองคั่วชงทานดู ปรากฏว่าได้รสชาติและกลิ่นที่หอมหวน แปลกใหม่ เข้มข้น

    โซมาร์จอดให้พวกเราหน้าร้านนึงให้เราเดินเข้าไป  ร้านแบบนี้เขาจะทำเป็นสวนธรรมชาติเลย
    มีพรรณไม้ และพันธ์กาแฟต่าง รวมทั้งต้นโกโก้และวานิลลาด้วย 







    ระหว่างเดิน พนักงานก็จะบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ  แต่เราเห็นเขาพูดไทยได้หลายคำ
    เนื่องจากนักท่องเที่ยวคนไทยไปกันมากมายนั่นเอง



    ชะมดเป็นสัตว์ที่กินยาก เลือกกินเฉพาะเมล็ดกาแฟที่สุกดีแล้วเท่านั้น ขณะที่ผลกาแฟอยู่ในท้องของตัวชะมดนั้นเมล็ดจะผสมกับเอมไซม์และสารเคมีที่อยู่ในกระบวนการย่อยของมัน ทำให้กาแฟชนิดนี้มีกลิ่นและลักษณะเฉพาะตัว



    หลังจากที่ชะมดกินและถ่ายออกมาก็จะนำไปล้างเอามูลชะมดออกให้หมดจด และขั้นตอนสุดท้ายคือนำไปคั่วเพื่อพร้อมที่จะนำส่งให้บรรดาร้านกาแฟต่อไป ผลผลิตที่ได้จะมีจำนวนน้อยในแต่ละปีจึงผลิตกัน
    ออกมาสู่ท้องตลาดได้ไม่มาก  จึงทำให้กาแฟขี้ชะมดมีราคาค่อนข้างแพง  และในปัจจุบันก็จะเลี้ยงชะมดไว้แทน และทำการผลิตกาแฟขี้ชะมดเพื่อส่งขายต่อไป เสียดาย เรากินกาแฟไม่ได้นะ  





    เดินไปจนสุดแล้ว  ลองคั่วกาแฟเล่นๆ ดูแล้ว  เขาก็จะให้ไปนั่งชมวิว ก่อนที่จะนำเครื่องดื่มต่างๆ
    มาให้เราชิมฟรี   ที่เรียงตามภาพนั่น ชิมฟรีนะคะ  แต่ถ้าใครอยากลองกาแฟขี้ชะมดต้องสั่งซื้อมาชิม
    เองตะหาก เสียเงินค่ะ แก้วนึงก็หลายร้อยอยู่นะ





    หลังจากนี้ปิด้ายของวัน เราจะไปบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์   Tirta empul   holy water temple
    กันต่อค่ะ  และเราจะลงอาบน้ำบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วยล่ะ  


    วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่ที่เมือง ทัมปักสิริง (Tampaksiring) เมืองเล็กๆอันเป็นที่ตั้งของวัด
    ปูรา ตีตาร์ เอิมปุล เป็นวัดที่มีพรายน้ำ (เอิมปุลผุดขึ้นมาจากสระปิดภายในวัด ซึ่งถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ และเป็นต้นน้ำของแม่น้ำปรากรีซัน …บรรยากาศร่มรื่นด้วยเงาไม้น้อยใหญ่ และศาสนสถานเก่าแก่หลายร้อยปีที่ปกคลุมด้วยมอสสีสด
    ชาวบาหลีเคารพบูชาวัดนี้ ด้วยเชื่อว่ากำเนิดมาจากพระอินทร์ เทพฮินดูซึ่งสร้างหลุมบนโลกให้เป็นบ่อตีร์ตา น้ำอันเป็นยาอายุวัฒนะ หรือน้ำอมฤตที่ทรงใช้น้ำนี้ชุบชีวิตทหารของทวยเทพที่ถูก มายาดานาวา ราชาอสูรวางยาพิษก่อนเข้าสู่ตัวน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ สถานที่อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้านหน้าของวัดแห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 10 เชื่อกันว่า น้ำที่ไหลผ่านท่อมากมายนี้ มีพลังวิเศษบำบัดโรคได้ จึงเป็นเหตุให้มีผู้คนหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ ดั้นด้นมาถวายเครื่องบูชาแด่เทพประจำสระ แล้วลงอาบชำระตนให้บริสุทธิ์
    อ้างอิงจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=762311



    เราไปถึงวัดตีตาร์ เอิมปุลกันในช่วงเย็นๆ  ก่อนเข้าก็ต้องคาดผ้ากะเอวให้เรียบร้อย  เข้าไปแล้ว
    ใครจะอาบน้ำก็เปลี่ยนใส่ผ้าถุงหรือโสร่งกันได้เลย   โซมาร์ยุให้เราใส่ผ้าถุง  บอกจะได้ดูเซ็กซี่
    555555555  แต่เราบอกจะบ้าเรอะ  เราจะใส่ชุดเดิมแล้วค่อยขึ้นมาเปลี่ยนชุดใหม่






                  จากด้านหน้า ก็เข้าไปยังด้านใน  ด่านแรกคือการอาบน้ำในบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ก่อน


                                    ก่อนจะลงก็ต้องทำการบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อของเขากันก่อน


    เสร็จแล้วก็ลงไปแช่  โดยบ่อจะมี 2 บ่อ  เริ่มที่บ่อแรก  จะมีน้ำพุออกมาทีละจุด  


    ก็ทยอยอาบไปทีละจุด  โดยบางคนก่อนอาบจะทำการอธิษฐาน แล้วเอาหัวไปรอง
    ก๊อกน้ำพุให้ราดหัว หรือจะดื่มก็ได้นะ  


    มีปลาคาร์ฟอีกตะหาก  


    พี่ล้านมานั่งรอ บอกจะเอาน้ำพุกลับบ้าน  อิอิอิอิ



    อาบเสร็จแล้วก็เดินออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะกลับเข้าไปข้างในอีกรอบ
    มีบางส่วนกำลังทำพิธีกันอยู่โดยห้ามคนนอกเข้าอีกเช่นเคย 



    บ่อน้ำอีกบ่อเป็นบ่อที่ลึกไปทางด้านในของวัด  และบ่อตรงนี้เองที่เชื่อว่า
     เป็นต้นกำเหนิดของบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์





    เราใช้เวลาที่นี่กันไปก่อนที่จะกลับไปยังที่พักที่เราจองไว้ ซึ่งอยู่ในย่านทาเมล
    ไม่ไกลจากที่พักเดิมนักเพียงแต่อยู่คนละฝั่งกันเท่านั้นเอง  
    ขากลับเราแวะซื้ออาหารกันเช้าไปทาน  นี่คือ  ลาลาปัน อาหารพื้นเมือง
    ของชาวบาหลี คือการน้ำไก่ไปทอด ให้กรอบแล้วกินกับข้าวสวย  เขาจะมีผัก 
    น้ำพริกไว้แอ้มด้วย  การกินจะใช้ช้อนใช้มือก็ตามสะดวก  แต่ถ้าจะให้ได้อารมณ์ก็ต้องใช้มือค่ะ  





    เราซื้อใส่ห่อกันกลับไปทานกันที่ที่พัก ราคาประมาณ  25-40  บาทไทย  
    ก็ไม่แพงมากถือว่าโอเคกับอาหารท้องถิ่นที่นี่  โซมาร์มาส่งเราหน้าโรงแรม
    เราเดินเข้าไปเช็คอินกัน  เราจองห้องพักสำหรับ 3 คน  ราคาหารกันแล้ว
    ประมาณคนละ  350   บาท  มีอาหารเช้าให้  โรงแรมนี้ค่อนข้างใหญ่กว่า 
    ในตัวห้องพักก็มีขนาดใหญ่ มีระเบียงให้นั่งเล่น  บรรยากาศดูวังเวง ขลังๆ ขรึมๆ ดีนะ 



    ดูประตูเข้าห้องพักเราสิ  


    เราพักด้านล่าง


    มีสระว่ายน้ำด้วย  แอบคิดในใจคราวหน้ามาจะนอนที่นี่สักคินสองคืนพร้อมชุดว่ายน้ำ  




    ตื่นเช้ามาก็ออกมาใช้สิทธิ์อาหารเช้ากันสักหน่อย





    โรงแรมที่เราพักสามารถซื้อทัวร์ไปที่ต่างๆ ได้ด้วย  




    เก็บของออกมาเช็คเอ้าท์กัน  รถมารอแล้ว  วันนี้เราจะเริ่มทริปวันที่ 3 
    ก่อนจะย้ายไปนอนโรงแรมอื่นที่ใกล้สนามบินเพื่อจะได้สะดวกต่อการ
    เดินทางไปสนามบินกัน 



    ขึ้นรถแล้วเราก็ไปที่แรกของวันที่ 3  คือ  ปุราทามันอายุน (Pura Taman Ayun) หรือ วัดเมงวี
     เป็นวัดที่เคยเป็นวังเก่า สร้างตอนศตวรรษที่ 17 เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมของกษัตริย์ราชวงศ์เม็งวี กำแพง ประตูวัด ก่อด้วยหินสูง แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง หลังคาปูด้วยหญ้าอลัง 
    สิ่งก่อสร้างด้านใน ตกแต่งลวดลายงดงามตามแบบบาหลี มีสระน้ำล้อมรอบ


    ที่นี่เสียค่าเข้าหากจะเข้าไปชมด้านในวัด แต่ด้านนอกไม่เสียเงินสามารถเดินเล่น
    หรือจะถ่ายรูปได้  เราไม่เข้าไปในวัดเพราะเรามองว่า ส่วนใหญ่ที่บาหลีวัดทั้งหมด
    มีลักษณะคล้ายๆกัน แดดที่นี่ตอนกลางวันแรงพอสมควร เราจึงเดินรอบๆ ถ่ายรูป
    ก่อนจะกลับออกมาขึ้นรถที่ด้านนอก 









    ออกจากวัดเมงวี  เราก็ไปต่อกันที่  Jati luwih rice terrace village
    นาขั้นบันไดหมู่บ้านจาตีลูวีห์ ชมนาข้าวขั้นบันไดที่สวยที่สุด

    หมู่บ้าน จาตีลูวีห์ (Jatiluwih)ชมนาข้าวขั้นบันไดอันเขียวขจีอย่างใกล้ชิด หมู่บ้านนี้เป็น
    หมู่บ้านเดียวที่ปลูกปาดี บาหลีหรือข้าวพันธ์ท้องถิ่นที่มีลำต้นยาวสวยสง่า 
    วิวของนาข้าขั้นบันไดแห่งนี้ถือว่าเป็นวิวที่สวยที่สุดในเกาะบาหลี Jatiluwih 
    ล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศที่เย็นสบายเพราะตั้งอยู่ในความสูง 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล 
    แต่เราไปแวะทานอาหารกัน เพื่อชมวิวของ จาติลูวิช นาขั้นบันไดไปในตัว  
    วันนี้ข้าวบางส่วนได้ถูกเก็บเกี่ยวออกไปแล้ว จึงมีความสวยงามอยู่ในระดับนึง 
    เราชมกันเพียงแต่ตรงนี้ไม่ได้ขับไปต่อ เพราะด้านในจะต้องเสียค่าเข้าด้วย 
    ประกอบกับดูนาฬิกาแล้ว เราจะต้องไปปุระทะนาลอตด้วยไม่งั้นจะไปถึงเย็นเกินไป


    เราจอดที่ร้านอาหารแห่งนึงเพื่อชมวิวและทานอาหารกลางวัน


    มีนักท่องเที่ยวมานั่งทานอาหารชมวิว


    เราก็สั่งอาหารมาได้ เป็นไก่  อาหารที่นี่ราคาค่อนข้างสูง  มีค่า  Vat %  และเซอร์วิส ชาร์ต
    อีกตะหาก  เราถามว่าทำไมต้องมี เขาบอกเก็บให้รัฐบาล  ....  งง เบย






    จากตรงนี้  สามารถขับรถไปได้อีกเรื่อยๆ โดยที่ข้างในถัดไปจะต้องเสียค่าเข้าชม



    เสียดายที่ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว  เดือน มค ฝนยังตกพรำๆ อยู่ แต่ก็ถือว่าอากาศดี


    ถัดจากนี้เราก็ไปต่อกันที่ Pura Ulun Danu Beratan temple on the lake

    วัดอูลัน ดานูร์ บราตู วัดที่สวยที่สุดในบาหลี เป็นวัดที่ยื่นออกไปจากชายฝั่ง มีเจดีย์เก่าแก่เล็กๆ

    ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมหลังคาทรงสูงซ้อนกัน 11 ชั้นยื่นเข้าไปในทะเลสาบอุทิศแด่เทวีดานู 









    ใช้เวลาที่นี่สักพักใหญ่ๆ วิวสวยสงบเราชอบมาก  ด้านในมีสวนสัตว์ มีสวนหย่อม
    ให้ได้เดินเล่นกันด้วย ใกล้ๆ กันนั้นก็ยังมีโรงแรมที่พัก  ถ้าใครอยากมาสบายๆ 
    แบบส่วนตัว ก็สามารถมาหาที่พักได้ใกล้ๆ กัน  แต่เดาว่า ราคาคงเอาเรื่องอยู่นะ 

    ถัดจากนี้เราก็เดินหน้าไปต่อยัง               Pura Tanah Lot/temple on the sea
    ปุราทานาห์ลอต หรือวัดทานาห์ลอต เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนชายหาดริมทะเล 1 ใน 5 ของเกาะบาหลี เรียกได้ว่ายื่นลงไปในทะเลเลยทีเดียว สร้างโดยนักบวชฮินดู ชื่อว่า ดัง ฮยัง นิราร์ธา ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 เพื่ออุทิศแด่เทพเจ้าและปีศาจแห่งท้องทะเล ลักษณะการสร้างบนโขดหินคล้ายเกาะเล็ก ๆ เวลาน้ำขึ้น จึงดูเหมือนวัดอยุ่กลางทะเล เวลาน้ำลง ผู้คนสามารถเดินข้ามทางเดินไปยังตัววัดได้ เป็นวัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชาวบาหลีให้ความเคารพบูชาอย่างมาก มีทิวทัศน์และบรรยากาศที่สวยงาม ระหว่างทาง
    เดินก็ยังมีร้านค้ามากมายให้ได้เลือกซื้อหาด้วย  เราไปถึงกันเย็นๆ  เนื่องจากการได้ไปชมพระอาทิตย์
    ตกดินที่นั่นถือว่าเป็นความงดงามและโรแมนติกอย่างนึงเลยนะ  ................



    ระหว่างที่ขับรถไประหว่างทางเห็นชาวบาหลีกลุ่มใหญ่ใส่ชุดประจำชาติกันคงมีงานบุญ
    เพราะเดินขบวนกันเต็มถนนเลยถ่ายรูปมาสักนิด




                                                               ผู้ชายชุดขาวกลุ่มนี้ คือนักบวช


    ขับมาได้สักพักก็เข้าสู่ทางไปปุระ ทะนาลอต


    ตีตั๋วแล้วก็ผ่านประตูเข้าไปเลย 





    ผ่านเข้าไปแล้ว ก็เลือกเอาว่าจะลงไปก่อนหรือจะไปทางขวาก่อน


    ถ้าลงไปก็เป็นตรงนี้ก่อน


    ถ้าวนขวาก็ไปทางนี้ก่อน


    แต่เราเลือกวนขวาเพราะเห็นว่าไกลสุด จะได้ไม่ต้องย้อนไปมาอีก




    ของที่ระลึกยังตามมาหลอกหลอนถึงข้างบน อิอิ


    กลับมาเพื่อจะลงไปที่นี่อีกทีนึง  คนเยอะมากวันนี้



    บางกลุ่มก็มารอตั้งกล้องถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินกัน



    ตรงข้ามกับปุระทะนาลอตจะมีถ้ำแคบๆ อยู่ เห็นว่าข้างในมีงูศักดิ์สิทธิ์ไรงี้ แต่ก่อนจะเข้า
    ไปชมต้องบริจาคก่อนนะ  แต่เราไม่ได้้เข้าไป


    เราอยากขึ้นไปบนวัดทะนาลอตมากกว่า  เห็นเขาขึ้นบันได้เราก็จะขึ้นตาม 
    โดนนักบวชไล่ให้มาตรงนี้ก่อน  คือระหว่างทางขึ้นบันได้ไปปุระ จะมีโพรงหิน
    เล็กๆอยู่ ประมาณว่ามีน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนต้องไปล้างหน้าล้างตา หรือดื่มกิน
    แล้วบริจาคกันก่อน ถึงจะให้ขึ้นบันไดไปได้  เราก็เดินตามไปยังที่นั่น


    ทุกคนต้องมาเข้าแถว โดยจะมีนักบวชคอยกำกับอยู่


    ไทย จีน ฝรั่ง แขก ก็เรียงคิวกันไปรองน้ำศักดิ์สิทธิ์


    เสร็จแล้วนักบวจจะให้พรโดยการทัดดอกไม้และแปะข้าวสารเสกให้ถือว่าเป็นอันจบพิธี
    และทุกคนก็ต้องนำเงินใส่ขัน นัยว่าเป็นการทำบุญ เราก็แอบม้วนแบงค์ อิอิ  
    แล้วหย่อนลงไป  นักบวชมองหน้า และเราก็ทำมึน แหะ แหะ แหะ 
    เสร็จแล้วจึงเดินขึ้นบันไดไปได้  แต่ขอโทษ ขึ้นไปได้แค่ 10 ขั้น ถัดจากนั้น
    ห้ามขึ้น  ขึ้นไปก็ไม่มีอะไรอีกตะหาก ไปตันกันอยู่ตรงบนได  ........ เพื่อ ?  ....


    เราออกจากปุระทะนาลอตกันเย็นพอสมควร  วันนี้เราจะย้ายโรงแรมไปนอนที่
    ใกล้ๆ สนามบินกัน เพื่อที่ตอนเช้าจะได้ไม่ต้องรีบมากนัก ในการกลับไปยัง
    สนามบินเพื่อเช็คอิน  โรงแรมอยู่ในซอยไม่ลึกมาก แต่ไปถึงค่ำแล้วจึงเงียบๆ 
    เราเดินออกมาหาอาหารเย็นทานกัน ก็ยังเป็นลาลาปันอีกเช่นเคย ก่อนจะแวะ
    มินิมาร์ทหาซื้ออะไรเย็นๆไปดื่มสักหน่อยก่อนนอนเพื่อคลายเส้น

    ลาลาปันห่อมาพร้อมข้าวสวยผักและน้ำพริกเปิบมือ แซ่บมากเด้อขอบอก



                                                                          เบาๆ นิดนึงก่อนนอน



                                 โรงแรมมีอาหารเช้าให้ เป็นข้าวผัดพร้อม ชา หรือกาแฟ และน้ำดื่ม


                            ประมาณ 8 โมงเช้า โซมาร์ก็มารับพวกเราที่โรงแรม เพื่อไปยังสนามบิน
                                 ประกฎว่า สนามบินอยู่ใกล้ๆ ซอยที่โรงแรมเราพักกันนั่นเอง

                                    ได้เวลาอำลาบาหลี ทริปนี้เราชอบมากๆ เพราะอยากมาบาหลีมานานแล้ว
                            แต่ไม่มีโอกาสสักที  ทริปนี้เหมือนกับการให้รางวัลตัวเอง และยังเป็นการฉลองวันเกิด
                                      36 ปี ของเราแบบเงียบๆเป็นของขวัญชิ้นพิเศษชิ้นนึงเลยทีเดียว

                        อีกไม่นานหลังจากเช็คอิน  แอร์เอเชียก็พาเราออกจากที่นั่นแล้วบินกลับประเทศไทย
                        แผ่นดินเกิดของเรา  คิดถึงจัง  คิดถึงส้มตำ  ลาบ น้ำตก  ฮิ้วววววววววว


    แต่ก่อนจะลาบน้ำตก   มื้อเที่ยงบนเครื่อง ไม่ไหวจะเคลียร์
    ของสั่งอาหารมากินก่อนละกัน อิอิอิ  สั่งข้าวกะเพราะไม่มี
    ได้แต่อะไรเส้นๆ นี่มาแทน  ง่ะ....... 


    จบกับทริปบาหลี  ทริปหน้าพบกันใหม่ค่ะ เมื่อชาติต้องการ  จุ้บๆ 







    การเดินทางไม่สิ้นสุด
    แบ่งปันประสบการณ์และเรื่องราวการเดินทางได้ที่ เพจดอกไม้ทะเลทราย

    https://www.facebook.com/DxkmiThaleThrayDesertFlower?ref_type=bookmark